ผบ.ตร.ย้าย“ผกก.สน.ห้วยขวาง”ไปเป็น “ผกก.สน.หนองจอก”

01 ก.พ. 2566 | 05:43 น.

ผบ.ตร.สั่งย้าย “ผกก.สน.ห้วยขวาง” โยกไปเป็น “ผกก.สน.หนองจอก” อ้างเหตุผลสมควรปรับย้าย เพื่อให้การรวบรวมพยานหลักฐาน ตรงตามความเป็นจริงและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

วันที่ 1 ก.พ.2566 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีหนังสือคำสั่งตร. ที่ 72/2566 ลงวันที่ 30 ม.ค. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ใจความว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ ถึง รองผู้บังคับการ ในวาระประจำปี 2565 นั้น

เนื่องจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลรายงานว่า สมควรปรับย้ายข้าราชการตำรวจ เพื่อให้การรวบรวมพยานหลักฐาน กรณีมีข้าราชการตำรวจในสังกัดสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางบางรายบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ และน่าสงสัยว่า กระทำความผิดทางวินัย หรืออาญา ตรงตามความเป็นจริงและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

ดังนั้น อาศัยอำนาจตามความนัยมาตรา 178 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความแห่งชาติ ที่ 7/2560 ลงวันที่ 20 ก.พ.2560 เรื่อง การปรับปรุงระบบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ จึงเปลี่ยนแปลงการแต่งตั้ง และแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ จำนวน 2 ราย

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2566 เป็นต้นไป โดยให้โอนอัตราเงินเดือนเติมไปตั้งจ่ายสำหรับตำแหน่งใหม่ ตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.2566 หรือ ให้ขาดจากอัตราเงินเดือนเดิมไปรับอัตราเงินเดือนใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.2566 เป็นต้นไป  

โดยให้ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง โยกไป ผกก.สน.หนองจอก จากเดิม พ.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ โยกไป ผกก.สน.หนองจอก ให้โยกไป ผกก.สน.ห้วยขวาง แทน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาเปิดเผยว่า  คำสั่งให้ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ช่วยราชการที่ ศปก.บช.น ยังอยู่ ยังคงให้มาช่วยราชการตามเดิม เพื่อเปิดทางให้คณะกรรมการสอบสวนเรื่องการเรียกรับเงินนักท่องเที่ยวไต้หวัน ทำงานอย่างเต็มที่ รวดเร็ว เป็นอิสระ ตรงความเป็นจริง เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย  โดยไม่ให้มีข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน  

การลงโทษ พ.ต.อ.ยิ่งยศ ในส่วนนี้เป็นการลงโทษทางปกครอง แต่หากผลการสอบสวนของคณะกรรมการออกมาว่า มีความผิดเพิ่มเติม จะดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไปอย่างแน่นอน  

ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกำชับไปยังคณะกรรมการสอบสวนว่า หากพยานหลักฐานสาวถึงใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดทุกราย ทั้งการดำเนินคดีอาญา วินัย และปกครอง เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก