“วรนัยน์ วาณิชกะ”นำทีมคนรุ่นใหม่ซบ“พรรคชาติพัฒนากล้า”เปิดตัวพรุ่งนี้ 

20 พ.ย. 2565 | 10:21 น.

“วรนัยน์ วาณิชกะ” อดีตหัวหน้าพรรครวมไทยยูไนเต็ด นำทีมคนรุ่นใหม่ ร่วมงานการเมืองพรรคชาติพัฒนากล้า “กรณ์ จาติกวณิช” แถลงเปิดตัวพรุ่งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย.2565 นี้ เวลา 10.00 น. นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า จะแถลงเปิดตัว นายวรนัยน์ วาณิชกะ อดีตหัวหน้าพรรครวมไทยยูไนเต็ด อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร GQ นำทีมคนรุ่นใหม่ ร่วมงานพรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อเตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง


ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2565  นายวรนัยน์ วาณิชกะ หัวหน้าพรรครวมไทยยูไนเต็ด ได้โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ประกาศ : ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยยูไนเต็ด” มีเนื้อหาระบุว่า 


หลังจากได้ตรึกตรองมาซักระยะ ผมได้ตัดสินใจดำเนินการลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยยูไนเต็ด ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางมือจากการเมือง แต่เป็นการเลือกที่จะหาที่อยู่ใหม่เพื่อเดินเส้นทางเดิม 


นั่นคือ เส้นทางสู่การกระจายอํานาจในสองปัจจัยหลัก หนึ่งคือ สิทธิมนุษยชนในความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่อภิสิทธิ์ที่กระจุกอยู่ในมือคนกลุ่มน้อย สองคือ โอกาสทางเศรษฐกิจของประชาชนทุกคน ไม่ใช่กระจุกความมั่งคั่งในมือของกลุ่มคนไม่ถึง 1% ของประเทศ

 

หลักการของการขับเคลื่อนเส้นทางนี้คือ คน “รุ่นใหม่” ซึ่งไม่ได้หมายถึงอายุ แต่คือความคิด โลกนี้มีทั้งคนอายุ 70 ที่มีความคิดทันสมัย และคนอายุ 20 ที่มีความคิดดึกดำบรรพ์


เป็นเส้นทางที่ก้าวสู่อนาคตโดยไม่ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง เพราะไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ใส่เสื้อสีได เป็นติ่งขั้วไหน อนุรักษนิยมหรือเสรีนิยม ประเทศเราขับเคลื่อนไปข้างหน้าไม่ได้ หากเราไม่ร่วมกันวิวัฒนาการ เป็นเส้นทางที่ปูโดยหลักการของประชาธิปไตย ซึ่งควรเป็นบรรทัดฐานในการหาฉันทามติร่วมกันในทุกข้อขัดแย้งของสังคม


ผมได้มีการพูดคุยเบื้องต้นกับบางพรรคการเมือง ซึ่งกําลังพิจารณาดูว่า พรรคใดยินดีให้โอกาสกับจุดยืนและนโยบายที่ผมได้พูดถึงในช่างเวลาเพียงแค่ 1 ปี ของเส้นทางการเมืองของผม (ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเป็นสื่อมวลชนและอาจารย์มหาวิทยาลัย)
พรรคการเมืองที่ผมจะตัดสินใจร่วมเดินทางด้วย คือพรรคที่ยืนดีเปิดรับจุดยืนและนโยบายที่เป็น Center Left (กลางซ้าย)


กลาง คือการวิวัฒนาการร่วมกันทั้งประเทศ ไม่ใช่ไปเพียงแค่ขั้วเดียว ซึ่งเป็นบทเรียนอันซ้ำซากในประวัติศาสตร์ของเรา สองขั้วชักกะเย่อกันจนโดนรถถังชนล้มทั้งประเทศ แต่หากเราจับมือร่วมกัน รถถังก็จะไม่มีข้ออ้างเข้ามา และไม่ใช่การจับมือกันโดยผู้ใหญ่จูงมือผู้น้อย เดินตามหลังอย่างไม่มีปากมีเสียง แต่เป็นการจับมือกันโดยมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน

 

ซ้าย คือการปฏิรูปโครงสร้างประเทศ ไม่ใช่ยึดติดกับความเหมือนเดิม เพราะปัญหาของประเทศเรา คือโครงสร้างอำนาจที่กระจุก เพราะฉะนั้น จุดยืนของการเข้าร่วมกับพรรคการเมืองของผม คือ หากเข้าไปในสภา จะยกมือให้กับแคนดิเดตนายกฯ ที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่จาก ส.ว.


นโยบายปฏิรูปโครงสร้างอำนาจการเมือง คือ เลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ปกครองพิเศษ เพราะคำว่า “พิเศษ” นั่นแหละ คือความอภิสิทธิ์ คือความเหลื่อมลํ้า ประชาชนในทุกจังหวัดต้องมีความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย


เลือกผู้ว่าของตน : ไม่ใช่ระบบ “นายสั่งมาให้คุม” และผู้ว่าจะต้องมีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง ไม่ใช่เลือกแล้วก็ต้องมานั่งเป็นลูกหม้อให้รัฐบาลกลาง


เลือกงบประมาณของตน : ไม่ใช่ส่งส่วยภาษี 100% ให้นาย แล้วมานั่งภาวนาว่านายจะปัดเศษให้พอกินพอใช้ พร้อมแนบใบสั่งว่าจะต้องทำอะไร รัฐบาลกลางเป็นผู้ประสานงาน ไม่ใช่เจ้านาย
ทั้งสองสิ่งนี้ คือสิทธิอำนาจทางการเมืองที่จะกำหนดอนาคตของตน

 

นโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่กระจุกอยู่ในกรุงเทพ ไม่ใช่นโยบายกู้เงินมาแจกจนถังแตกทั้งประเทศ แต่เป็นการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ สร้างงาน สร้างเงิน เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือ กาสิโนเสรี จุดประสงค์ไม่ใช่การพนัน แต่คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ท่องเที่ยวจะโตก็ต้องมีสิ่งดึงดูดใหม่ๆ ไม่ใช่เที่ยวของเดิม 


เศรษฐกิจจะก้าวกระโดดก็ต้องมีอุตสาหกรรมใหม่ๆ ไม่ใช่ขายแต่ของเดิม คุณภาพชีวิตจะพัฒนาเทียบเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ต้องมีเงินใหม่อันมหาศาลเข้ามาสะพัดในระบบ ไม่ใช่แตกแบงก์เงินเก่า เงินภาษีกาสิโนเข้าจังหวัด เอามาพัฒนาโรงเรียน โรงพยาบาล ถนนหนทาง ไม่ต้องรอขอจากรัฐกลาง ส่วนแบ่งภาษีของรัฐบาลกลาง เอามาตั้งกองทุนสตาร์ทอัพให้นักศึกษาพึ่งจบ และเพิ่มงบในกองทุนเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุ สรุปคือ ขับเคลื่อนอนาคตของประเทศพร้อมกับดูแลพ่อแม่ของเรา 


จะเป็นบาปหรือเป็นบุญ ให้ประชาชนในพื้นที่ตัดสินใจ ประชามติว่าควรทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชนในแต่ละจังหวัด แต่ไม่ได้หมายความว่ามีได้ทุกจังหวัด ไม่เกินสามพื้นที่ทั่วประเทศ ยุทธศาสตร์แต่ละภูมิภาค ที่แน่ๆไม่ต้องทําในหรือใกล้กรุงเทพ ทั้งประชากรและเศรษฐกิจกระจุกแออัดพอแล้ว สร้างงาน สร้างเงินที่อื่น สร้างโอกาสให้คนกระจายออกจากเมืองหลวง


นโยบายเศรษฐกิจต้องพลิกโฉม ไม่ใช่ประชาชนมีเงิน 5 บาท แจกให้อีก 1 บาท แต่ก็ยังจนอยู่ดี นโยบาย Soft Power สิ่งแรกที่ควรเข้าใจ Soft Power เป็นกระบวนการของการเมืองระหว่างประเทศตามขั้นตอนดังนี้

 

ส่งออกวัฒนธรรมร่วมสมัย หากชาวโลกลุ่มหลง มันก็จะต่อยอดสู่ความเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า และส่งผลให้สถานะของประเทศและอำนาจในการต่อรองบนเวทีโลก


ฮอลลีวู้ด J-Pop K-Pop คือ เครื่องมือ Soft Power ที่ช่วยให้อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ประสบความสำเร็จบนเวทีโลก เพราะฉะนั้น Soft Power ของไทยคืออะไร ? ที่แน่ฯไม่ใช่ข้าวเหนียวมะม่วง ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์และไม่ใช่บุคคล


คำถามคือ ชีพจรของชาวโลกต้องการอะไร ? คำตอบคือ วัฒนธรรม LGBTQ+ ร่วมสมัยของไทย ซึ่งมีศักยภาพอยู่แล้วในการผลิต Series Y และวงดนตรี ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ ซึ่งสามารถต่อยอดไปถึงแบรนด์เศรษฐกิจโดยเฉพาะอุตสาหกรรมไลฟสไตล์และแฟชั่น ซึ่งสามารถนำไปสู่ Bangkok Pride Parade เป็นเทศกาลระดับโลก ต่อยอดไปการท่องเที่ยว และสร้างสถานะของประเทศไทยบนเวทีโลกว่า

 

นี่คือ แบบอย่างของประเทศที่ทันสมัยและมีสิทธิ์เสรีภาพ แต่ Soft Power นี้จะทำไม่ได้ หาก “สมรสเท่าเทียม” ไม่เกิดขึ้นจริง หาก “เสรีภาพของประชาชน” ยังถูกริดรอน คำถามที่ฮึกเหิมคือ พรรคการเมืองไหนทำได้ ? คำถามที่เศร้าสลดคือ มีกี่พรรคที่เข้าใจว่า Soft Power คืออะไร ?

 

กระจายอำนาจ กระจายโอกาส คือจุดเป้าหมายบนเส้นทางการเมืองของผม “ให้มันเกิดในรุ่นเรา” คือสโลแกนที่ควรผลักดันให้เป็นฉันทามติ เพราะ “เรา” คือ คนไทยทุกคน