“พรรคสร้างอนาคตไทย”เปิดเวทีระดมความเห็นหาทางออกวิกฤติเศรษฐกิจ 10 ก.ค.นี้

06 ก.ค. 2565 | 04:34 น.

“พรรคสร้างอนาคตไทย” เปิดฟอรั่ม “เจาะลึกวิกฤติ ร่วมคิดทางออก Economic wrap up and recommendation” ถกนักวิชาการ นักธุรกิจชั้นนำ หาทางออกวิกฤติเศรษฐกิจประเทศ ในวันอาทิตย์ที่ 10 ก.ค.นี้ 

พรรคสร้างอนาคตไทย จัดงานเสวนานักวิชาการและนักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทย ได้แก่ ดร.บัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล คุณกิตติ พรศิวะกิจ  ประธาน Smart Tourism สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

 

คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น และ คุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ SME ไทย ร่วมกันระดมความคิด ชี้แนะทางออกของวิกฤติเศรษฐกิจให้ผู้เกี่ยวข้อง ได้พิจารณานำไปสู่การปฏิบัติอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแท้จริง 


โดยมี ดร.สันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ และสรุปการเสวนา โดย ดร.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ในวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 09.00 -12:30 น. ณ ห้องเวิล์ดบอลรูม ซี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

                                 “พรรคสร้างอนาคตไทย”เปิดเวทีระดมความเห็นหาทางออกวิกฤติเศรษฐกิจ 10 ก.ค.นี้
สำหรับ พรรคสร้างอนาคตไทยได้แสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ เพื่อชี้นำให้ภาครัฐเห็นถึงแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา การเตรียมการรับมือกับวิกฤติห่วงโซ่พลังงาน (energy supply chain) วิกฤติห่วงโซ่อาหาร (food supply chain) หรือแม้แต่ทิศทางของตลาดเงินตลาดทุนแบบดั้งเดิม ที่ถูกท้าทายด้วยการเติบโตและผันผวนอย่างรุนแรงของสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset) 

เมื่อถึงเวลานี้ คือช่วงเวลากลางปี 2565 ก็จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ภาครัฐและหน่วยเศรษฐกิจในประเทศไทย ต้องทบทวนบทบาท พร้อมทั้งกำหนดท่าทีเพื่อรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวอย่างเร่งด่วนและเหมาะสม เพื่อบรรเทาผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ 

 

อีกทั้งต้องปรับเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสประคองตัวและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไปให้ได้ มิฉะนั้น ประเทศไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน (competitive edge) ไปอย่างยากที่จะกลับมามีบทบาทเป็นผู้นำในภูมิภาคได้อีกต่อไป