"เพื่อไทย" ชำแหละ 8ปีบิ๊กตู่ ทำประเทศ "เสื่อมถอย" ตรงไหน

24 พ.ค. 2565 | 08:20 น.

"เพื่อไทย" ยกทัพถล่ม "บิ๊กตู่" ชี้ 8 ปีบริหารประเทศมีแต่ความเสื่อมถอย "พิชัย"แนะทางออก ให้เลือก "เพื่อไทย" สู่อนาคตประเทศ

24 พ.ค. 2565 คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย นำโดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด กรรมการบริหารพรรค นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารพรรค และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรค ร่วมแถลงข่าวประจำสัปดาห์ ภายใต้หัวข้อ "8 ปีแห่งความเสื่อมถอย เพื่อไทย เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย" ชำแหละและชี้จุดอ่อนการบริหารประเทศของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 

 

โดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ เปิดประเด็นด้วยการกล่าวแสดงความยินดีกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แบบ "แลนด์สไลด์" หรือแบบถล่มทลาย สะท้อนว่าชาวกทม.ส่วนใหญ่แสดงชัดเจนว่าไม่เลือกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เขาหวังว่าเรื่องนี้จะนำมาสู่ "การชนะแบบแลนด์สไลด์" ให้กับพรรคเพื่อไทย (พท.) ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย

"ประชาชนเบื่อหน่ายกับคำแก้ตัวแบบซ้ำๆ ของพล.อ.ประยุทธ์ที่อ้างว่าต้องทำรัฐประหารเข้ามาก็เพราะต้องแก้ไขความวุ่นวายและมาเพื่อให้เกิดความสงบ ทั้งที่คนที่สร้างความวุ่นวายคือคนที่ได้ดิบได้ดีและอยู่รอบตัวพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนั้น รวมถึงบางคนที่ถูกประชาชนลงโทษให้สอบตกจากผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ด้วย" นายพิชัยกล่าวและว่า

 

ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนทนไม่ไหวและรับไม่ได้แล้วกับความเสื่อมถอยทุกด้านของประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจจะชัดเจนที่สุดเพราะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่แค่วาทกรรม

การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยที่ต่ำเตี้ยมาตลอด 8 ปีทำให้รายได้ของประชาชนหดหาย หนี้สินล้นทะลัก ทั้งหนี้สินประเทศ หนี้สินภาคครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจ หนี้เสียธนาคาร ตลอดจนหนี้นอกระบบพากันพุ่งกระฉูด และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงได้ คนตกงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายล้านคน อีกทั้งคนจนมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีตลอด 8 ปี จนต้องแจกบัตรคนจนมากขึ้นถึง 20 ล้านใบ

 

นายพิชัยยังสับไม่ยั้ง ระบุว่าความสามารถแข่งขันของประเทศลดลง ไทยถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้า และกลายเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยีสมัยใหม่เพราะไม่มีการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่หรือยูนิคอร์น อีกทั้งความเหลื่อมล้ำของไทยเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับโลก แล้วรัฐบาลยังปล่อยให้เจ้าสัวผูกขาดควบรวมกิจการ รวมถึงการให้คนบางกลุ่มมีอิทธิพลทางธุรกิจพลังงาน ซึ่งทำให้คนรุ่นใหม่ถูกปิดกั้นในการพัฒนาขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในอนาคต

 

อีกทั้ง การคอร์รัปชันที่พุ่งสูงขนาดองค์การระหว่างประเทศยังจัดอันดับทุจริตของไทยแย่ลง 5 ปีติดกัน จากอันดับ 96 ในปี 2560 มาเป็นอันดับ 110 ในปี 2564 ทางด้านสังคมก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน คนรุ่นใหม่ถูกปิดกั้นทางความคิด ถูกดำเนินคดี และอยากย้ายประเทศเป็นล้านคน ในขณะที่ความเสื่อมถอยทางการเมืองเหมือนย้อนยุค 30 ปี ที่มีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 250 คน มาโหวตนายกฯ พรรคการเมืองอ่อนแอมีพรรคเล็กพรรคน้อยมากมายมาต่อรองผลประโยชน์

 

"8 ปีที่ผ่านมาปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากความต้องการที่จะรักษาอำนาจของผู้นำ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ นี่เป็นสาเหตุที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าผู้นำต้องไม่อยู่เกิน 8 ปี ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์อย่าดันทุรังอีกเลย ประชาชนได้แสดงความต้องการชัดเจนแล้วว่าอยากเปลี่ยนผู้นำ ขอให้มั่นใจได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะมีแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนโดยได้เสนอแนวคิดมาตลอดและขอให้มั่นใจว่า เพื่อไทยเพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย" นายพิชัย กล่าว

 

ทางด้าน น.ส.จิราพร กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหาร มักจะอ้างความสุขของประชาชน แต่รัฐบาลนี้ กลับทำลายนโยบายดีๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค นโยบายแจกแท็บเล็ตให้นักเรียน โครงการรถไฟความเร็วสูง ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่หาเสียงไว้ ทั้งค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท เงินเดือนอาชีวะ 18,000 บาท ปริญญาตรี เดือนละ 20,000 บาท ข้าวหอมมะลิ ตันละ 18,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 12,000 บาท มารดาประชารัฐ กลับไม่ทำเลย ไม่ต่างอะไรกับเพลงเราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน แต่ปาเข้าไป 8 ปีแล้ว

 

น.ส.จิราพร ยังกล่าวถึงการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเอเปคในปลายปีนี้ส่อเค้าจะล้มเหลว เพราะยังไม่ทันไรการประชุมรัฐมนตรีการค้าจาก 21 เขตเศรษฐกิจก็มีความขัดแย้งสูง กลายเป็นสนามประลองกำลังของมหาอำนาจ ไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมได้ ประเทศไทยต้องออกแถลงการณ์เองแก้เก้อ บ่งชี้ถึงศักยภาพที่อ่อนด้อยในการบริหารจัดการการประชุมนานาชาติของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งต่างจากรัฐบาลในอดีตอย่างสิ้นเชิง

 

ดังนั้นทางที่ดีที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ควรเลิกพยายามกระเสือกกระสนที่จะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเพื่อได้นั่งเป็นประธานเอเปค หวังจะกอบกู้ภาพลักษณ์ตัวเองคืน "แต่ถ้ารู้ตัวว่ามือไม่ถึงก็ควรจะสละอำนาจ และให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนได้เข้ามาบริหารประเทศแทน" น.ส.จิราพร กล่าว

 

ขณะที่นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารพรรคกล่าวว่า ตลอด 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ได้ล้มเหลวในการพัฒนาด้านดิจิทัลและด้านพลังงาน ซึ่งเป็น 2 แนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก และยังตัดอนาคตของคนรุ่นใหม่ที่จะพัฒนามาเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในอนาคตได้

 

ด้านดิจิทัล พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้มีการควบรวมของผู้ประกอบการรายใหญ่ และยังปล่อยให้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนรั่วไหล อีกทั้งยังปล่อยให้มี Digital Harassment มี SMS และ การโทรศัพท์หลอกลวงทำให้ประชาชนโดนหลอกเสียเงินจำนวนมาก และยังไม่มีทิศทางชัดเจนเรื่องเงินดิจิทัล และสินทรัพย์ดิจิทัล

 

นอกจากนี้ ระบบการศึกษาไม่ส่งเสริมให้ผลิตบุคคลการทางดิจิทัลที่สำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ ขณะที่ด้านพลังงาน การจัดการข้อพิพาทในพื้นที่ที่มีก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีปัญหาในการนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมา และอาจจะเป็นปัญหาเหมือนกรณีเหมืองทองคิงส์เกตได้

 

แนวทางบริหารพลังงานของพลเอกประยุทธ์ ไม่ส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการรายใหญ่ มีแต่รายเดิมๆ อีกทั้งการบริหารจัดการผิดพลาดไม่ได้คำนึงถึงความต้องการใช้พลังงานที่แท้จริงทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าที่สูงเกินจริง

 

"นี่เป็นเพียงบางปัญหาเท่านั้น ปัญหาทางด้านดิจิทัลและด้านพลังงานยังมีอีกมาก ซึ่งมีเรื่องใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา อาจจะยากเกินกว่าที่พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าใจ ซึ่งทำให้ไทยก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้คนรุ่นใหม่เสียโอกาสอย่างมาก" นายพชร กล่าวทิ้งท้าย