เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม "ปารีณา" คดีรุกป่าราชบุรี ผิดจริยธรรมร้ายแรง

07 เม.ย. 2565 | 08:54 น.

ศาลฎีกาพิพากษา “ปารีณา” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง สั่งพ้นตำแหน่ง ส.ส. ไม่มีสิทธิสมัครเลือกตั้ง ส.ส.- ส.ว. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และไม่มีมีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดไป พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี หลังครอบครองที่ดินปฏิรูป รู้กม.แต่เอาเปรียบประชาชน

 7 เม.ย.65   ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ คมจ.1/2564  ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ

 

กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม และขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้าน และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี  

 

โดยวันนี้ น.ส.ปารีณา ไม่ได้เดินทางมาศาล  มีเพียงทนายความ เป็นตัวแทนเดินทางมาฟังคำพิพากษา

น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์

คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องสรุป ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่ง ส.ส. ไม่ได้มีอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลัก  จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินเพื่อทำประโยชน์  ที่ผู้คัดค้านที่ดิน 29 แปลง  มีเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ และมีทรัพย์สินที่ยื่นไว้กับป.ป.ช.กว่า 163 ล้านบ้าน  จึงไม่ได้ผู้ยากไร้ที่ทำกิน

 

 เป็นผู้ขาดคุณสมบัติครอบครองที่ดินเขตปฏิรูปตั้งแต่แรก การกระทำของผู้คัดค้านถือว่าไม่รักษาเกียรติภูมิของชาติ  เป็นการจัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม

 

มีพฤติการณ์เสื่อมเสีย อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระฯ ไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ 


 ขณะที่ น.ส.ปารีณา หรือ ผู้คัดค้านคัดค้าน  ชี้แจงว่า ได้เข้าครอบครองที่ดินตั้งแต่ปี 2484 ก่อนที่มีการประกาศเป็น พ.ร.บ.ป่าไม้ และพ.ร.บ.ป่าสงวน ในปี 2507  

 

โดยนายทวี ไกรคุปต์ บิดา ได้ซื้อที่ดินต่อจากชาวบ้านผู้มีสิทธิ์มาทำฟาร์มสัตว์เลี้ยง และปลูกพืช   โดยบิดาได้ยกที่ดินให้ดูแลกิจการ เพื่อนำเงินไปเลี้ยงดูบิดาตั้งแต่ 2555  ไม่ทราบว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน จึงไม่มีเจตนาบุกรุก เผ้าถางป่า และกรมป่าไม้ไม่เคยปักหมุดเขตป่าสงวน ว่ามีพื้นที่เริ่มตั้งแต่แนวใด ทำให้ประชาชนที่เคยครอบครองที่ดินไม่ทราบ ว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน  เพราะมีการมาประกาศภายหลัง  

 

การที่กรมป่าไม้ดำเนินคดีกับผู้คัดค้าน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ต่อมาผู้คัดค้านเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน และคืนที่ให้ทั้งหมด โดยไม่มีเงื่อนไข จึงฟังไม่ได้ว่าบุกรุกที่ตั้งแต่ปี 2549  การยื่นคำร้องคดีนี้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการไต่สวนและมีมติ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจไต่สวนเอง

ศาลฎีกา พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว  เห็นว่าประเด็นต้องวินิจฉัย   ว่าผู้คัดค้านซึ่งเป็น ส.ส.กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมหรือไม่

 

เห็นว่า การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมฯ ข้อ 11 ต้องมีการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือที่เรียกว่าผลประโยชน์ทับซ้อน  อันกระทบต่อการสั่งการ หรือใช้ดุลพินิจอำนาจหน้าที่ดูแลควบคุมการตรวจสอบที่ตนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องด้วย

 

 ซึ่งข้อเท็จจริง ผู้คัดค้านเป็น ส.ส.มีอำนาจเกี่ยวกับนิติบัญญัติ ร่างกฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงดูแลตรวจสอบกรมป่าไม้และสำนักงานปฏิรูปที่ดิมเพื่อการเกษตร  การครอบครองที่ดินของผู้คัดค้าน  

 
  ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่า การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ ส.ส.  ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนมาตราจริยธรรมร้ายแรงฯ ข้อ 17 ประกอบ ข้อ 3 ข้อ 27 วรรคสองหรือไม่

น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์

  ศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านครอบครองที่ดิน 665 ไร่ 1 งาน 53 ตร.ว. เป็นพื้นที่สีส้ม  โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ใด   ขณะที่ที่ดินบริเวณโดยรอบมียื่นขอออกเอกสารสิทธิ สปก. 4-01 หลายแปลง จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านประกอบธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ย่อมต้องทราบว่ามีการปฏิรูปที่ดินเช่นเดียวกับคนอื่น 
    

ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 2562  สำนักงานปฏิรูปที่ดินฯ ประกาศให้มีการยื่นขอปฏิรูปที่ดินอีกครั้ง   โดยเอกสารการยื่นขอปฏิรูปที่ดินกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต้องมีอาชีพเป็นเกษตรกร และไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง

 

 สำนักงานปฏิรูปที่ดินฯจะจัดสรรที่ดินให้ไม่เกินคนละ 50 ไร่  ซึ่งผู้คัดค้านก็ยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน  เพราะมีที่ดินมากกว่าคนอื่น  

 

การเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินอาจมีผลให้ผู้คัดค้านสูญเสียที่ดินได้ และการที่ผู้คัดค้านครอบครองที่ต่อจากบิดา  โดยรู้ว่าเป็นที่เกษตรกรรม มีเจตนาไม่ส่งคืนเพื่อจัดสรรให้เกษตรกรและเลี่ยงการเข้ากระบวนการปฏิรูปมาตลอด  จนมีการตรวจสอบ 
    

ผู้คัดค้านจึงคืนที่ดินให้ทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข  ข้อเท็จจริงหาใช่สมัครใจส่งมอบเองตามที่อ้าง  ประกอบกับผู้คัดค้านเป็น ส.ส. 4 สมัย

 

 ย่อมมีความรู้เกี่ยวกับที่ดินเขตปฏิรูป การครอบครองที่ดินของจำเลยยังเป็นการปิดโอกาสเกษตรกรรายอื่นไม่สามารถได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินได้  คนทั่วไปจะแคลงใจว่าเหตุใจผู้คัดค้านจึงสามารถครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปได้หลาย 100 ไร่
  

 

 เมื่อตรวจสอบสถานะผู้คัดค้านมีรายได้จากการเป็น ส.ส. 4 สมัย  ใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่ในรัฐสภา ไม่ใช่เกษตรกรอาชีพ มีกรรมสิทธิ์ที่ดินของตัวเองหลาย 10 แปลง  และมีที่อยู่อาศัยคนละพื้นที่กับที่ดินพิพาท

 

 การครอบครองที่ดินเขตปฏิรูปโดยทราบว่าไม่มีคุณสมบัติและไม่มีเอกสารสิทธิ์  ส.ส.ย่อมไม่ควรปฏิบัติ  การกระทำของผู้คัดค้านเสื่อมเสียเกียรติ และมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ข้อ 17 ที่ต้องรักษาชื่อเสียง  ตำแหน่งหน้าที่ของ ส.ส. และไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์

 

 แม้ต่อมาจะส่งคืนที่ดินทั้งหมด  ก็ไม่ทำให้การฝ่าฝืนจริยธรรมฯที่เกิดขึ้นแล้วเป็นไม่เกิดขึ้นได้   ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่านำรายได้จากการทำเกษตรในที่ดินเขตปฏิรูปมาเลี้ยงดูบิดา  ซึ่งเป็นหลักศีลธรรมนั้น เห็นว่าการเลี้ยงดูบิดาต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และคนทั่วไปก็มีหน้าที่ไม่ต่างจากผู้คัดค้าน
    

 

จึงพิพากษาว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง   มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่ 25 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่  

 

และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี  และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป  มีผลให้ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิ์รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.  สว. ผู้บริหารท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคสี่  และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 87  

 

และมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ  ข้อ 3 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง   ทั้งนี้ คำพิพากษาให้มีผลทันที และให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดว่า น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบดังกล่าว  

 

เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเป็นส.ส.กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม  

 

ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง และกรณีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

 

รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 11 ข้อ 17 ประกอบ ข้อ 27 วรรคสอง


   ภายหลัง น.ส.ปารีณา ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์  ว่า ทราบคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วและน้อมรับทุกกรณี  แต่ขอเวลาทำใจก่อนจะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน  เพราะขณะนี้ตนไม่พร้อมที่จะพูดถึงเรื่องนี้    ซึ่งน้ำเสียงของ น.ส.ปารีณาค่อนข้างเศร้า