ศาลไฟเขียว“สภามช.”ใช้วิธีปรึกษาหารือเสนอชื่อผู้เหมาะสมเป็นอธิการบดี

07 ม.ค. 2565 | 11:15 น.

ศาลปกครองเชียงใหม่ไฟเขียวสภามช.ใช้วิธีปรึกษาหารือ เสนอชื่อผู้เหมาะสมเป็นอธิการบดี สั่งยกคำขอทุเลา ของอ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล กับพวก ชี้กระบวนการออกข้อบังคับที่ห้ามใช้วิธีเลือกตั้ง-หยั่งเสียง ยังฟังไม่ได้ว่าไม่ชอบด้วยก.ม.

วันนี้ (7 ม.ค.64) ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามกฎ ในคดีที่ นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์นิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  กับพวกรวม 13 คนซึ่งเป็นอาจารย์และบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยฯ ยื่นฟ้อง สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สภามช.) กับพวกรวม 2 คน เป็นผู้ถูกฟ้องคดี ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนข้อบังคับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าด้วยการสรรหาอธิการบดี (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564 ข้อ 5 วรรคสาม ที่มีสาระสำคัญว่า 

 

“ในการเสนอรายชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีทุกขั้นตอนให้ใช้วิธีปรึกษาหารือ และมิให้ดำเนินการโดยวิธีเลือกตั้งหรือหยั่งเสียง หากปรากฏหลักฐานว่าผู้สมัคร หรือ ผู้ถูกเสนอชื่อรายใดยอมรับวิธีการดังกล่าว ให้คณะกรรมการตัดชื่อออกจากกระบวนการสรรหา และถ้ามีผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยสนับสนุนก็ให้ถือว่ามีความผิดทางวินัย” 

เนื่องจากเห็นว่า เป็นการตราข้อบังคับที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย และขอให้ทุเลาการบังคับตามข้อบังคับนี้ มิให้นำมาใช้บังคับกับการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

 

ส่วนเหตุผลที่ศาลปกครองเชียงใหม่ยกคำขอทุเลาดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า การที่สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 อาศัยอำนาจตามมาตรา 25 วรรคหนึ่ง (3) และมาตรา 42 พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2551 ออกข้อบังคับดังกล่าวในชั้นนี้ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า กระบวนการในการออกข้อบังคับไม่เป็นไปตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนด 

ส่วนปัญหาว่าข้อบังคับดังกล่าวมีเนื้อหาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีที่ศาลต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป จึงเห็นว่าข้อบังคับดังกล่าวไม่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการให้ข้อบังคับนี้มีผลใช้บังคับในระหว่างการพิจารณาคดี ไม่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง 

 

หากต่อมาศาลวินิจฉัยว่า เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมจะพิพากษาให้เพิกถอนกฎดังกล่าวได้ ประกอบกับการที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามข้อบังคับดังกล่าว ย่อมจะส่งผลทำให้กระบวนการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ดำเนินการอยู่ขณะนี้ ต้องล่าช้าออกไป และจะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ ตามมาตรา 66 วรรคสอง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ 2542 และข้อ 72 วรรคสาม แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 กรณีจึงยังไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามข้อ 5 วรรคสาม ของข้อบังคับดังกล่าว