มช.ผุดกุญแจสำคัญพัฒนาระบบรางไทย ก้าวข้ามสู่ระดับโลก

14 พ.ค. 2564 | 09:58 น.

มช. ผุดกุญแจสำคัญพัฒนารากฐานระบบรางไทย เพื่อก้าวข้ามสู่ระดับโลกในด้าน Railway Track Foundation Structure

 

เส้นทางสู่การพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0โดยมีทิศทางที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ซึ่งหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตนั้นคือ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงต่อการขนส่งทั้งภายในและต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดซึ่งหมายรวมถึงการขนส่งทางรถไฟด้วยการพัฒนาระบบรางคู่จึงจำเป็นต้องมีเพิ่มขึ้นทั้งนี้เพื่อให้รถไฟที่วิ่งอยู่เดิมสามารถวิ่งสวนทางกันได้ช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งได้ดีขึ้นโดยเฉพาะความเร็วของรถไฟเมื่อเปลี่ยนมาใช้รางคู่จะทำให้รถไฟเร่งความเร็วได้มากขึ้นและด้วยความพร้อมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทางด้านวิศวกรรมโยธาจึงได้เข้ามาร่วมมือกับเครือข่าย“พันธมิตรระบบราง”

มช.ผุดกุญแจสำคัญพัฒนาระบบรางไทย ก้าวข้ามสู่ระดับโลก

เพื่่อพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและเป็นที่มาของการริเริ่มศูนย์วิศวกรรมโยธาและฐานรากระบบรางขั้นสูง (Chiang Mai University Advanced Railway Civil and Foundation Engineering Center)หรือเรียกสั้นๆว่า CMU RailCFC ภายใต้การสนับสนุนของศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่่เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานของระบบรางอย่างจริงจัง

มช.ผุดกุญแจสำคัญพัฒนาระบบรางไทย ก้าวข้ามสู่ระดับโลก

รองศาสตราจารย์ ดร.พีรพงศ์ จิตเสงี่ยม หัวหน้าศูนย์วิศวกรรมโยธาและฐานรากระบบรางขั้นสูงได้กล่าวถึงแนวทางของศูนย์ CMU RailCFC ว่า การดำเนินงานจะแบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกจะเน้นความร่วมมือระหว่างเครือข่ายพันธมิตรซึ่งจะเข้ามาช่วยในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการขั้นสูงทางด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟที่สามารถทดสอบไม้หมอนในแบบ One Stop Service รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เฟสที่ 2 คือ การเขียนขอทุนวิจัยในระดับประเทศ เรื่องของหินรองหมอนรถไฟ ประเด็นงานวิจัยนี้้เกิดขึ้นจากเราต้องการสร้างรถไฟรางคู่ 6-7 เส้นทาง ซึ่งต้องใช้หินโรยทางรถไฟในปริมาณมหาศาล

จึงศึกษาความเป็นไปได้ที่จะนำเอาหินที่เสื่อมสภาพมาผสมกับหินใหม่ เพื่อลดการทำลายธรรมชาติจากการระเบิดภูเขา หากเป็นไปได้จะเกิดผลกระทบเชิงบวกอย่างมาก จะทำให้ประเทศพัฒนารางรถไฟควบคู่กับแนวทาง SDGs ทำให้เกิดความยั่งยืน และเฟสที่ 3 ในปี 2567 การทำงานจะเต็มรูปแบบ ทั้งโครงการวิจัย โครงการทดสอบ การสนับสนุนการสอน และการเข้าไปมีส่วนร่วมในงานวิจัยระดับนานาชาติมากขึ้น ทางศูนย์ฯ ยังมองเรื่องของเทคโนโลยีอนาคต

โดยเฉพาะเทคโนโลยี Wireless sensor ที่จะเข้ามามีบทบาทในระบบราง ซึ่งตอนนี้ทีมนักวิจัยได้สร้างเครื่องมือตรวจวัดขึ้น เรียกว่า สมาร์ทร็อค (Smart rock) จะนำไปฝังในราง ซึ่งถือเป็นโครงการแรกของมหาวิทยาลัย โดยการทำงานของเครื่องจะเปรียบเสมือนหินรองรถไฟก้อนหนึ่ง เมื่อรถไฟมีการวิ่งใช้งาน ทุกอย่างจะมีการเสื่อมสภาพ สมาร์ทร๊อคจะตรวจจับได้ว่า รางมีการชำรุดไปเท่าไหร่ มีการหมุนตัวอย่างไร และส่งสัญญาณว่าตัวมันเปลี่ยนแปลงอย่างไรเป็นตัวเลขที่แน่นอน แล้วส่งข้อมูลเข้าระบบแบบ Real-time ไปยังศูนย์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถซ่อมบำรุงได้ โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยให้รางเสียหายก่อน

ด้วยงานวิจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากการขับเคลื่อนของศูนย์ CMU RailCFC จะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะช่วยไขให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า โดยมีระบบขนส่งพื้นฐานระบบรางเป็นตัวเกื้อหนุนในการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจ และจะเป็นเสาหลักในการสร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง