“สนธิรัตน์"เปิดใจบ้านเมืองติดหล่มหลุมดำปัญหาสะสม จึงคิดตั้งพรรคใหม่

06 ม.ค. 2565 | 03:30 น.

“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์"เปิดใจสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ติดหล่มหลุมดำ ปัญหาสะสม จึงตัดสินใจตั้งพรรคใหม่ เผย "สมคิด"เป็นที่ปรึกษาที่ดี หนุนเดินหน้าการเมือง อุบเปิดชื่อแคนดิเดตนายกฯ แต่มีคนที่พร้อมนำประเทศ เร็วไปตอบหนุน "ประยุทธ์" หรือไม่

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) แกนนำกลุ่ม “4 กุมาร” ให้สัมภาษณ์เนชั่นทีวีช่อง 22 ถึงความคืบหน้าการตั้งพรรคการเมืองใหม่ว่า เดิมตั้งใจจะนัดพูดคุยกับสื่อมวลชนถึงทิศทางการเมืองที่เราจะเดิน ตั้งใจไว้หลังปีใหม่ แต่สถานการณ์โควิดที่เราเห็นวันนี้ยังไว้วางใจไม่ได้

 

"เมื่อเราบอกไปแล้วก็มีสื่อมวลชนสอบถามเข้ามามากว่า ตกลงจะเอาอย่างไรจะเดินอย่างไร
โดยสถานการณ์ที่เรายังกังวลใจจึงโพสต์เฟซบุ๊กเปิดใจว่า เราได้ตัดสินใจ ไม่เฉพาะเรา แต่ได้รวบรวมผู้คนและมีความพร้อมที่จะเดินหน้าทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง ก็จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา และดำเนินงานทางการเมืองต่อไป"

 

 

ส่วนแนวทางของพรรคการเมืองใหม่จะต่างหรือเหมือนกับแนวทางที่เคยทำงานกับพรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ในสถานการณ์การเมืองแต่ละช่วงเวลามันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป ตอนที่พวกตนได้อาสาตั้งพรรคพลังประชารัฐในตอนนั้น เราเข้าไปร่วมหลังจากพรรคจัดตั้งแล้ว และเราก็เห็นว่าจังหวะนั้น เป็นเวลาที่ประเทศไทยต้องการความต่อเนื่องด้านการบริหารจัดการ ต้องการให้ประเทศเดินหน้าต่อ 


“พวกเราเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้นอยู่ เราก็เห็นว่าสิ่งที่ทำไปหลายปีที่ผ่านมา หากไม่ต่อเนื่องก็จะเป็นสิ่งที่ประเทศเสียโอกาส ซึ่งประเทศไทยมักจะเสียโอกาสเสมอเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อันนี้คือความตั้งใจที่ต้องการให้การบริหารบ้านเมืองมีความต่อเนื่องในตอนที่ตั้งพรรคและดำเนินการพรรคพลังประชารัฐในตอนนั้น แต่ว่าครั้งนี้มันเป็นอีกเรื่อง เป็นสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากครั้งที่แล้ว เป็นสถานการณ์ที่บ้านเมืองเราค่อนข้างลำบากกว่าครั้งที่แล้วมาก”

นายสนธิรัตน์ กล่าวด้วยว่า เราเจอผลกระทบของโควิด-19 ค่อนข้างมาก กระทบชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน ข้อสำคัญก็คือ ในช่วงปีครึ่งที่เราไม่ได้อยู่ในรัฐบาล ก็ได้เฝ้าดูสถานการณ์ ขณะนี้ก็เห็นว่าบ้านเมืองมีหลายปัญหา ที่คิดว่าเป็นปัญหา เราค่อนข้างติดหล่มหลุมดำในบางเรื่อง จากการสะสมของปัญหาที่ผ่านมา เราก็มีการพูดคุยกัน ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ คิดจะตั้งพรรค  

 

“เราได้มีการพบปะพูดคุยทุกภาคส่วนต่างๆ มาเป็นระยะเวลาพอสมควร รวบรวมบุคคล และได้รวบรวมผู้คนที่มีความเห็นคล้ายๆ กันจะมาช่วยกันคิดช่วยกัน จะทำได้อย่างไรบ้าง จนกระทั่งเราคิดว่าเรามั่นใจแล้วว่า เรามีคนที่จะร่วมกัน ช่วยกัน ก็เลยตัดสินใจร่วมกันว่า เราจะตั้งพรรคการเมืองและเดินหน้าเข้ามาเพื่อมีส่วนในการช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง”

                             “สนธิรัตน์"เปิดใจบ้านเมืองติดหล่มหลุมดำปัญหาสะสม จึงคิดตั้งพรรคใหม่

เมื่อถามว่าทำไมเลือกตั้งพรรคการเมืองเองแทนที่จะไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นที่มีอยู่แล้ว นายสนธิรัตน์ ตอบว่า เรื่องพรรคการเมืองอื่นเราก็พยายามพูดคุยกับทุกฝ่ายในเวลาที่ผ่านมา ทั้งพรรคที่มีอยู่แล้ว แต่ในทางการเมืองบางทีวิธีการทำงาน หรือช่วงเวลากว่าจะลงตัว มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม 

 

ดังนั้น เราก็ประเมินว่าเมื่อสถานการณ์ของบ้านเมืองในปัจจุบันและระยะเวลาที่เหลืออยู่เมื่อมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ มีผู้ที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมกันทำในกลุ่มก้อนที่มีพลังเพียงพอ เราก็เลยตัดสินใจตั้งพรรคของเราขึ้นมา เพื่อที่จะได้ดำเนินการทางการเมืองต่อไป 

 

“ความจริงแล้วเราไม่ได้ปฏิเสธที่จะพบปะพูดคุยกับกลุ่มการเมืองต่างๆ พรรคต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่การเมืองมีการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา”

 

เมื่อถามว่ากลุ่ม 4 กุมารในอดีตจะกลับมาทั้งหมดหรือแค่บางส่วน นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ตอนนี้ก็มีตน และนายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.คลัง ที่จะกลับมาเต็มตัว ส่วนนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ กับ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ก็ยังเป็นห่วงบ้านเมือง เพียงแต่มีภารกิจในการทำงานด้านอื่นกันอยู่ ซึ่งพวกเราเป็นทีมเดียวกัน เป็นเพื่อนกัน ความรู้สึกผูกพันการทำงานร่วมกัน เรายังพบปะพูดคุยกันสม่ำเสมอ เพียงแต่บทบาททางการเมือง ทั้ง 2 คนก็ยังสนุกอยู่กับงานประจำที่ทำอยู่ขณะนี้ แต่ก็คงจะช่วยกันเท่าที่ช่วยกันได้ในการทำงานการเมืองต่อไป

 

เมื่อถามถึง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ จะมีสถานะใดในพรรคนี้ นายสนธิรัตน์ ชี้แจงว่า นายสมคิด เป็นที่ปรึกษาของพวกเรา และเป็นผู้ที่ให้ความคิดกับเราในด้านการทำงานบ้านเมืองมาโดยตลอด แม้กระทั่งปัจจุบันเราทำอะไรก็ยังปรึกษาว่า เราคิดอย่างนี้ ท่านคิดอย่างไร นายสมคิดยังเป็นที่ปรึกษาที่ดี เป็นผู้ให้กำลังใจ สนับสนุนเราให้เดินหน้าทางการเมือง คิดว่าเห็นว่าปัญหาบ้านเมืองต้องช่วยกัน นายสมคิด ยินดีสนับสนุนและให้กำลังใจพวกเราเต็มที่ในการเดินหน้าทางการเมือง

 

ส่วนจะมีชื่อ นายสมคิด เป็นหนึ่งใน 3 แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคที่ตั้งใหม่หรือไม่ นายสนธิรัตน์ ตอบว่า “คิดว่าสังคมพอเห็นผม กับ นายอุตตม ที่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง แน่นอนก็คงจะมองเลยไปถึง นายสมคิด ว่าจะอยู่ตรงไหนในบทบาทใด อย่างไร ผมคิดว่านายสมคิด เอง เป็นหนึ่งในบุคลากรของประเทศที่มีคุณค่า แต่ทั้งหมดทั้งมวลเรายังไม่ถึงเวลาตรงนั้น รวมทั้งพรรคก็เพิ่งเริ่มก่อตั้ง ท่านจะอยู่ในบทบาทใดอย่างไรก็ตาม ท่านไม่ทิ้งพวกผม ไม่ว่าจะเดินหน้าอย่างไรก็ตาม ดังนั้น ก็คงต้องให้เวลาพรรคได้ทำงานคืบหน้าไปก่อน”

 

นายสนธิรัตน์ กล่าวด้วยว่า แคนดิเดตนายกฯ เป็นเรื่องที่สำคัญของพรรคการเมือง แคนดิเดตนายกฯ ของเรามีหลักการที่มองหาคือ จะต้องมีความรู้ความสามารถที่จะนำพาประเทศไปได้ นั่นคือหัวใจที่ใหญ่มาก จะต้องรวบรวมพลังผู้คนให้ได้ เดินหน้าด้านต่างประเทศในการฟื้นประเทศได้ เป็นต้น

 

“ใครก็ตามที่อยู่ในคุณสมบัติเหล่านี้ที่เรามองหา อยากให้พรรคได้เป็นคนนำเสนอ ถ้าเป็นไปได้อันนี้คือ หลักของพรรคในเบื้องต้น ส่วนจะเป็นใครอย่างไร ยังมีระยะเวลาดำเนินการกันต่อไป”

 

เมื่อถามย้ำว่าต้องมีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเองหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เมื่อเราตั้งพรรคการเมือง เราต้องมีบุคลากรที่พร้อมที่จะเป็นผู้นำ พร้อมจะนำพาประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องดำเนินการ เรากำลังสรรหาบุคลากรเหล่านี้อยู่ เพื่อเข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาบ้านเมือง

 

เมื่อถามว่าสรุปใช้ชื่อพรรคอะไร ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่อีกหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องชื่อพรรคขอให้ขั้นตอนทางกฎหมายเรียบร้อยก่อน ให้สมบูรณ์แบบนิดนึง เราพร้อมที่จะเปิดภายในเดือนมกราคมนี้ พร้อมเปิดพรรคเปิดรายละเอียดต่างๆ

 

ส่วนคำถามที่ว่ายังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกหรือไม่ อันนี้ถามไปไกล เพราะยังไม่รู้เลยว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร อนาคตของแต่ละพรรคจะเป็นอย่างไร คงเร็วมากที่จะตอบสิ่งเหล่านั้น แต่หลักเกณฑ์ที่เรามี คือ การทำพรรคการเมืองต้องตอบปัญหาประชาชนให้ได้ ต้องสามารถดำเนินการทางการเมืองและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะฉะนั้นคำตอบนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะยังไม่ทราบผลจริงๆ ว่า เราจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากน้อยแค่ไหน และผลเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ยังเร็วมากที่จะตอบในวันนี้

 

เมื่อถามว่ากติกาใหม่จะส่งครบทั้ง 400 เขตหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า อันนั้นเป็นหน้าที่เมื่อเราลงมาก็ต้องเข้าใจกติกาใหม่ที่เกิดขึ้น บัตร 2 ใบ และ 400 เขต เราได้เตรียมการไว้ในทิศทางนี้อยู่