วันนี้(10 ต.ค.64) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala เสนอขั้นตอนการลดราคาน้ำมันเพื่อช่วยประชาชน จำนวน 5 ข้อ ประกอบด้วย
1. เลิกการอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงค์โปร พร้อมทั้งกำหนดเพดานอัตรากำไรเบื้องต้น (ให้คงเพดานไว้ตราบใดที่กลุ่ม ปตท. ยังควบคุมกำลังการกลั่นน้ำมันในไทยสูงกว่า 25%)
2. เลิกการจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3.เลิกการจ่ายเงินเข้ากองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
4.ลดเพดานค่าการตลาดเหลือไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร
5.เมื่อได้ดำเนินการตาม 1-5 ครบถ้วนแล้ว จึงสมควรจะพิจารณาลดอัตราภาษีสรรพสามิตให้สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 5 ต.ค.64 นายธีระชัย ก็ได้โพสต์เรื่อง “บริหารพลังงานถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ?” ระบุว่า
มีผู้สื่อข่าวสอบถามว่าการแก้ปัญหาราคาน้ำมันที่ถูกต้อง ควรจะใช้กองทุนน้ำมันแทรกแซง ดังที่พรรคเพื่อไทยเสนอ และมีข่าวว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็อาจคิดอยู่ หรือไม่?
ทีมงานของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) บอกว่า นโยบายพลังงานที่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ที่ไม่เอื้อนายทุนผู้ถือหุ้นทั้งคนไทยและต่างชาติ ต้องเป็นดังนี้
1. ยกเลิกอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงค์โปรบวกค่าใช้จ่ายในการนำเข้า
มาตรการนี้จะแก้ไขหลักการผิด ที่ใช้สมมุติฐานเสมือนว่าโรงกลั่นในไทยตั้งอยู่ในสิงค์โปร์ แล้วบวกค่าใช้จ่ายเทียมโดยสมมติว่านำเข้า อันเป็นนโยบายที่อุ้มให้โรงกลั่นในไทยได้กำไรเกินควร จึงควรรื้อไม่ให้มี “เสือนอนกิน” (เป็นเช่นนี้มานานแล้ว)
2. ยกเลิกการนำไบโอดีเซลและเอทานอลไทยที่กำหนดราคาสูงกว่าตลาดโลกที่เอามาผสมกับน้ำมัน
มาตรการนี้ จะรื้อนโยบายของรัฐที่ไปอุ้มราคาเชื้อเพลิงพืช แต่ชดเชยเงินกองทุนน้ำมันให้แก่โรงกลั่น(ไม่ใช่ให้แก่เกษตรกร) ซึ่งสร้างกำไรให้ธุรกิจโรงกลั่นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
เมื่อราคาเชื้อเพลิงพืชยิ่งสูง ยิ่งเอามาผสมกับน้ำมัน ประชาชนก็ยิ่งเดือดร้อน จึงควรรื้อนโยบายที่อุ้ม “จระเข้ขวางคลอง”
3. กำหนดเพดานสูงสุดของค่าการตลาดไม่ให้เกิน 1.5 บาท (ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5-5 บาท) และกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการฮั้วราคาขายโดยไม่มีการแข่งขันอย่างเสรี
มาตรการนี้ จะแก้ปัญหาในจุดที่ว่า นโยบายของหลายรัฐบาลที่ผ่านมา การแข่งขันในธุรกิจพลังงานในไทยไม่เสรีเท่าที่ควร
4. กำหนดให้ประกาศราคาน้ำมันขายปลีกทุกๆ วันจันทร์ โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลังในวันทำการของสัปดาห์ก่อนหน้าไม่เกิน 7 วัน เพื่อให้ราคาไม่ผันผวนเกินไป
มาตรการนี้ จะช่วยทำให้ราคาขายปลีกขึ้นลงอย่างเนิบนาบ เปิดช่องหายใจให้แก่ประชาชน แต่ในขณะเดียวกัน จะช่วยปิดช่องทางที่บริษัทน้ำมันจะบวกกำไรเกินควร
5. ยกเลิกกองทุนน้ำมัน พร้อมทั้งรื้อนโยบายราคาก็าซหุงต้ม LPG ดังนี้
5.1 ยกเลิกอ้างอิงราคาก็าซหุงต้ม LPG สำหรับครัวเรือนกับราคาตลาดโลกที่บวกค่าใช้จ่ายเทียมในการนำเข้าจากซาอุฯ เพราะก็าซหุงต้มสำหรับครัวเรือน 100% ผลิตได้มาจากโรงแยกก๊าซในประเทศ
5.2 ประกาศเพดานราคาก็าซหุงต้ม LPG สำหรับครัวเรือนที่เหมาะสมเพราะผลิตได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมในประเทศ เพื่อมิให้บริษัทผูกขาดธุรกิจนี้สามารถบวกกำไรได้มากเกินไป
5.3 กำหนดให้ราคา LPG ที่ขายแก่ธุรกิจปิโตรเคมีต้องอ้างอิงราคาตลาดโลก (ไม่ใช้ราคาซื้อขายกันเองระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูกในราคาต่ำกว่าตลาดโลกมาก)
มาตรการนี้ เป็นการยอมรับหลักการว่า ก๊าซ LPG เป็นพลังงานจำเป็นในครัวเรือน ซึ่งประเทศไทยผลิตได้เองในประเทศและมีการกำหนดราคาขายที่เป็นธรรมมาตลอด
แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศ ในฐานะประธาน กพช.กลับยกเลิกเพดานราคาที่รัฐบาลต่างๆ จากการเลือกตั้งก่อนหน้าได้กำหนดไว้
รัฐบาลนี้กลับเปลี่ยนไปอ้างอิงราคาตลาดโลก บวกค่าใช้จ่ายเทียมในการนำเข้าจากซาอุฯ
นโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดังกล่าว จึงเป็นการเฉือนเนื้อประชาชนคนไทยทั้งชาติ ไปปรนเปรอบริษัทผูกขาด ซึ่งเป็น “เสือนอนกิน” และจำเป็นต้องแก้ไขเป็นการด่วน
และที่ผ่านมาก็แก้ไขผลกระทบ โดยเอาเงินจากกองทุนน้ำมันไปช่วยตรึงราคาก๊าซ LPG (ดูรูป) เดือน ก.ย.ต้องใช้ถึง 1.7 หมื่นล้านบาท
พล.อ.ประยุทธ์ คงจะไม่เข้าใจกลไกราคาทะลุปรุโปร่ง เพราะออกข่าวชื่มชมตนเองที่ไม่ได้ยกเลิกกองทุนน้ำมันตามที่มีข้าราชการเสนอ
แต่หารู้ไม่ว่า การเอาเงินจากกองทุนน้ำมันไปอุดหนุนก๊าซ LPG ก็คือ รีดเงินจากประชาชนกลุ่มหนึ่ง ไปช่วยประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง
จึงเป็นการแก้ปัญหาแบบ “โจรปล้นคนจน” ไม่ยอมกลับไปรื้อนโยบายที่ผิด ที่อุ้มนายทุนผู้ถือหุ้นทั้งคนไทยและคนต่างชาติ
6. ต่อเมื่อได้ดำเนินการทั้งหมดแล้ว จึงให้พิจารณาลดอัตราภาษีสรรพสามิตเป็นการชั่วคราว
หมายเหตุ: การกล่าวถึงชื่อบุคคลใดมิใช่เป็นการกล่าวหากระทำความผิด แต่เป็นเพื่อประกอบการบรรยายทางวิชาการ เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในการรักษาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ