วันที่ 16 ก.ย.2564 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาวาระรับหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. …ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง หลังจากเมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) ได้มีการอภิปรายแสดงความคิดเห็นจากส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล โดยในวันนี้ (16 ก.ย.) ได้มีการประชุมเพื่อให้โหวตลงมติในวาระรับหลักการหรือวาระที่ 1 โดยผลการลงมติที่ประชุม คือ เห็นชอบ 363 เสียง ไม่เห็นชอบ ไม่มี งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง ซึ่งที่ประชุมมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว และจะมีการตั้งกรรมาธิการเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อไป
“ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย” ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2564 และถูกพลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภา เป็นวาระเร่งด่วน หลังเกิดกรณี “ผู้กำกับโจ้ ” ทำการทรมานผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติดจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 ส.ค.
สำหรับเนื้อหาสำคัญ คือ มุ่งเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่กระทำความผิดฐานทรมาน ในฐานกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยกำหนดการกระทำที่เข้าข่ายความผิดไว้ ว่า เป็นการกระทำให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ และต้องมีวัตถุประสงค์อย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ เพื่อให้ได้ข้อมูล หรือ คำรับสารภาพจากบุคคลที่ถูกทรมาน และมีการกำหนดอัตราโทษ
สำหรับความผิดฐานกระทำการทรมานและฐานกระทำให้บุคคลสูญหายไว้เท่ากัน คือ ผู้ทำผิดฐานกระทำการทรมาน หรือ ความผิดฐานทำให้บุคคลสูญหาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี และปรับตั้งแต่ 1-3 แสนบาท หากผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส จะต้องรับโทษหนักขึ้นจำคุกตั้งแต่ 10-25 ปี และปรับตั้งแต่ 2-5 แสนบาท หากกระทำความผิดเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายต้องวางโทษจำคุกตั้งแต่ 15 -30 ปีหรือ จำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่ 3 แสนบาท-1ล้านบาท และหากผู้ถูกกระทำเป็นบุคคลที่อายุไม่เกิน 18 ปี หญิงมีครรภ์ ผู้พิการทางร่างกายหรือจิตใจ หรือผู้ที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ โทษก็จะหนักขึ้น