“จุรินทร์” ชี้ 2 ปัจจัย รัฐบาลอยู่สั้นหรือยาว

ในการเสวนา “โฉมหน้าประเทศไทย 2020” งานดินเนอร์ ทอล์ก จัดโดยเครือเนชั่น (17 ธ.ค.2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ตอบคำถามเรื่องเสถียรภาพรัฐบาลจะมั่นคงหรือไม่ว่า ขึ้นกับ 2 ปัจจัยหลัก ประการที่หนึ่ง ในระบบรัฐสภาที่ขึ้นอยู่กับเสียงในสภาผู้แทนราษฎร ถ้ารัฐบาลมีเสียงข้างมาก ก็อนุมานง่าย ๆ แบบคณิตศาสตร์การเมือง ก็ดูเหมือนจะมีเสถียรภาพทางการเมืองมากหน่อย แต่ถ้าเสียงปริ่มน้ำ เสถียรภาพทางการเมืองก็จะใจหายใจคว่ำ อย่างไรก็ดีอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะที่ผ่านมาบางรัฐบาลมีเสียงล้นสภา ก็เคยยุบสภามาแล้ว หรือสุดท้ายต้องลาออกก็มี

ประการที่ 2 อยู่ที่ผลงานของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลนี้สามารถสร้างผลงานให้ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ ที่เกี่ยวของ รัฐบาลก็จะมีเสถียรภาพมั่นคงขึ้น เสียงปริ่มน้ำก็จะกลายเป็นปัจจัยรอง เพราะจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่อยากให้รัฐบาลอยู่ต่อไป เพราะสามารถทำงานในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ซึ่งทั้ง 2 ประการนี้ต้องไปด้วยกัน

ส่วนคำถามที่ว่าที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความขัดแย้งกันในการทำงานหรือไม่นั้น นายจุรินทร์ระบุว่า ตนมั่นใจว่าทุกท่านทราบหน้าที่ แม้ต้องแบ่งกระทรวงกัน อันนี้เป็นเรื่องปกติของรัฐบาลผสมทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย และอย่าไปกังวลว่า ถ้าเป็นรัฐบาลผสมแล้วจะต้องมีปัญหาเสมอไป การเป็นรัฐบาลผสมเพราะเป็นไปตามคณิตศาสตร์การเมืองในระบบรัฐสภาที่รัฐบาลต้องมีเสียงข้างมาก ถ้าพรรคเดียวเสียงไม่เกินครึ่งตั้งรัฐบาลพรรคเดียวไม่ได้ ก็ต้องตั้งรัฐบาลหลายพรรค การบริหารจัดการในระบบรัฐบาลผสมก็มีวิธีการของมันอยู่ ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยในการทำงานร่วมกันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะทุกคนรู้เป้าหมาย ตนก็รู้เป้าหมาย

“หน้าที่ของผมอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ อยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ และก็อื่น ๆ ผมก็ทำหน้าที่ในขอบเขตของผมให้ดีที่สุด เมื่อท่านทำดีที่สุดของกระทรวงคลัง ผมทำดีที่สุดของพาณิชย์ รัฐมนตรีเกษตรฯทำเกษตรฯ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมทำอุตสาหกรรม เป้าหมายก็จะไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน แล้วก็ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็จะเป็นตัวตัดสินสุดท้ายเวลามีประเด็นที่จำเป็นต้องตัดสินใจ หรือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งคนนั่งหัวโต๊ะก็คือคน ๆ เดียวกันคือท่านนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างก็ไปได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย”

ทั้งนี้ตนมั่นใจว่าทุกคนมีวุฒิภาวะที่ทราบดีว่าจะต้องทำอย่างไร และสุดท้ายต้องไปสู่จุดหมายปลายทางของความสำเร็จของแต่ละกระทรวง ของแต่ละคน  ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือประเทศและประชาชน