ศาลรธน.นัดฟังคำวินิจฉัยสถานภาพส.ส.ของ “ธนาธร” คดีถือหุ้นสื่อ 20 พ.ย.นี้ เวลา 14.00 น. พร้อมให้คู่กรณีส่งคำแถลงปิดคดีภายใน 15 วัน ด้าน “แม่ธนาธร”ตื่นเต้นขึ้นศาลครั้งแรก ยัน 8 ม.ค. “ธนาธร”กลับบ้านเซ็นโอนหุ้นจริง เหตุต้องการให้หลานทดลองบริหารฟื้นฟูกิจการ แต่ให้โอนกลับเพราะหลานขอให้ใส่เงินเพิ่มอีกหลายล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการไต่สวนพยาน 10 ปาก ในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ขอให้พิจารณาว่า ความเป็นส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98(3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดียจำกัด เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดฟังคำวินิจฉัยสถานภาพ ส.ส.ของนายธนาธร ในวันพุธที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 14.00 น. พร้อมให้คู่กรณีส่งคำแถลงปิดคดี ภายใน 15 วัน
สำหรับ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ขึ้นเป็นพยานในคดีหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดียของนายธนาธร โดยนางสมพรยืนยันว่า การโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค. เกิดขึ้นที่บ้านของนายธนาธร โดยกำหนดเวลาหลังเลิกงานแล้วให้มาเซ็นโอนหุ้นกัน ในส่วนของเอกสารทนายความเป็นคนจัดเตรียมมา โดยรายละเอียดมอบหมายให้นางลาวัลย์ จันทร์เกษม พนักงานบริษัทที่ดูงานด้านบัญชี และนางกานต์ฐิตา อ่วมขำ พนักงานที่ดูแลด้านการเงิน เป็นผู้ประสานโดยตรงกับทนายความ ในวันดังกล่าวทราบว่านายธนาธรอยู่ที่บุรีรัมย์แล้วจะนั่งรถกลับบ้าน เมื่อตนเดินทางไปถึงบ้านของนายธนาธร พบว่า นายธนาธรและนายณัฐธนนท์ไปถึงก่อนแล้ว เพราะนัดไว้ในเวลา 18.00 น. ก่อนที่ตนจะเซ็นเอกสารได้อ่านดูคร่าวๆ ว่าถูกต้องแล้วจึงเซ็นซื่อ ในวันดังกล่าวตนได้เตรียมเช็คมา 2 ใบ เพื่อชำระค่าหุ้น สั่งจ่ายนายธนาธร 6,750,000 บาท โดยเช็คลงวันที่ 8 ม.ค.62 ซึ่งไม่รู้ว่าเช็คจะนำไปขึ้นเงินเมื่อไหร่ สำหรับค่าป่วยการทนายความไม่ต้องจ่ายเงินเพราะเป็นทนายความของพรรค
ต่อมาศาลได้พยายามซักถามกรณีหุ้นดังกล่าว ซึ่งมีปัญหาจากการไปจดแจ้งหลังวันที่นายธนาธรสมัครรับเลือกตั้ง นางสมพร กล่าวว่า ตนบริหารบริษัทกว่า 40 แห่ง ปกติการยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) จะเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนยื่นงบดุล หลังการโอนหุ้นไม่ได้หมายความว่าเอกสารต้องทำเรียบร้อยในทันที ปกติก่อนการโอนหุ้นบริษัทอื่นๆ จะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น แต่การโอนวี-ลัคมีเดีย ดำเนินก่อนช่วงก่อนสิ้นปีทุกคนงานยุ่ง นายธนาธรก็เตรียมตัวมาเล่นการเมือง เขาต้องถอนหุ้นออกจากเครือไทยซัมมิททั้งหมด ในส่วนของบริษัท วี-ลัคมีเดีย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานจึงไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น
นางสมพร ได้ชี้แจงถึงการโอนหุ้นให้หลายชาย 2 คน ในวันที่ 11 ม.ค.62 คือ นายทวี จรุงสถิตพงศ์ หรือบี และ นายปิติ จรุงสถิตพงศ์ หรือเอ เนื่องจากตนเสียดายที่ต้องปิด บริษัท วี-ลัคมีเดียฯ เพราะนางรวิพรรณ ที่เคยบริหารจนกิจการมีผลประกอบการดี ก็มีลูกตามมาติดๆ อีกหลายคน จึงอยากให้หลานเข้ามาทำบริษัท ไม่ใช่บริษัทขาดทุนแล้วอยากปิดบริษัท โดยนายทวี เรียนจบนิเทศศาสตร์มาโดยตรงมีความสนใจ จึงขอให้นายปิติ (พี่ชาย) มาช่วยเพราะ บริษัท วี-ลัคมีเดีย ไม่มีพนักงานเหลืออยู่แล้ว ตนจึงตกลงโอนหุ้นทั้ง 2 ก้อนไปให้หลานชาย เพื่อฟื้นฟูบริษัท เป็นการโอนให้หลานไม่ใช่การขาย ซึ่
“หลานทั้ง 2 คนนี้ เป็นหลานแท้ๆ พี่ชายคนโตของตนเสียชีวิตไปเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมาอุ้มชูหลานทั้ง 2 คน มาตลอด หลังจากหลานไปเรียนรู้แผนงานได้กลับเสนอให้ลงทุนเพิ่มใน บริษัท วี-ลัคมีเดียฯ อีกหลายล้านบาท แต่ตัดสินใจไม่ลงทุนเพิ่มเพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่ตกเทรนแล้ว จึงให้หลานทั้ง 2 คน โอนหุ้นกลับมา จากนั้นจึงมีการเจรจากับลูกหนี้บางรายให้ทยอยจ่ายหนี้ โดยลดหนี้ให้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้สามารถปิดบัญชีได้เร็ว จึงเป็นเหตุให้การปิดบัญชีบริษัททำได้ในเดือน มิ.ย.62”
นอกจากนี้ นางสมพร ยังเบิกความด้วยว่า เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 23 ปี หลังเรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อแฟนมาจีบก็แต่งงานเมื่ออายุ 24 ปี จนถึงขณะนี้อายุ 68 ปีแล้ว ในการบริหารงานตลอด 40 ปี ยึดมั่นในกฎหมาย รวมถึงกรอบเวลาต่างๆในกฎหมาย แต่การโอนหุ้น บริษัท วี-ลัคมีเดียฯ แตกต่างจากหุ้นบริษัทอื่น เพราะเป็นการโอนหุ้นภายในกันเอง จึงไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น นอกจากนั้น ในวันที่ 8 มกราคม มีการเซ็นโอนหุ้นในเครือไทยซัมมิทหลายบริษัท แต่มีการชำระเงินเฉพาะ บริษัท วี-ลัคมีเดียฯ ส่วนหนึ่งเพราะต้องการปิดบริษัทนี้ และการนำเงินจำนวนมากมาชำระค่าหุ้นหลาย 10 บริษัทต้องใช้เวลาเตรียมการนานพอสมควร ส่วนการโอนหุ้นให้หลานชายทั้ง 2 คน ก็เป็นการโอนให้ไปบริหารฟรีๆ แต่ในต้นขั้วเอกสารระบุว่ามีการชำระค่าหุ้นในราคาพาร์ 10 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการไต่สวนพยานปากนางสมพรเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ศาลไม่ได้ซักถามอย่างกดดันหรือตึงเครียด เมื่อเห็นว่านางสมพร ไม่เข้าใจหรือมีอาการงุนงงกับคำถามของทนายฝ่ายผู้ถูกร้อง ก็ช่วยอธิบายคำถาม พร้อมระบุว่าทนายความซักคุณแม่เวียนหัวเลย ขณะที่นางสมพร ได้เบิกความด้วยอาการตื่นเต้น กล่าวคำเรียกแทนตัวเอง ว่าข้าพเจ้าบ้าง หรือหนูบ้าง หลังเสร็จสิ้นการเบิกความนางสมพร ยกมือไหว้ขอบคุณศาลพร้อมกล่าวว่า “หนูก็ตื่นเต้น”