ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขดําที่ อม. 282/2560 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 122/2562 ที่พิพากษาว่า พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ นักโทษหลบหนีคดีทุจริตจำนำข้าว ว่ามีพฤติการณ์รํ่ารวยผิดปกติ ขอศาลสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน
“ฐานเศรษฐกิจ” พลิกคำพิพากษายึดทรัพย์กว่า 896 ล้านบาท พบว่าขุมทรัพย์ “หมอโด่ง-พ.ต.วีระวุฒิ” ที่ตกเป็นของแผ่นดินครั้งนี้ เป็นทรัพย์สินที่นอกจากถือครองโดยพ.ต.วีระวุฒิเองแล้ว ยังกระจายอยู่ในความครอบครองของอดีตภริยา รวมทั้งเครือญาติอีก 5 คน มีรายละเอียดดังนี้
1. ทรัพย์สินในชื่อพ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ มูลค่ารวม 79,389,106.02 บาท ประกอบด้วย เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ต่างๆ วงเงินตั้งแต่ 1 แสนบาท ถึงเกือบ 40 ล้านบาท รวม 5 บัญชี เงินลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ (บลจ.) 1.4 ล้าน และในบ.จีทีเวลธ์ แมเนจเมนท์ฯ 7.5 ล้าน และรถยนต์โตโยต้า 1 คัน 3.45 ล้านบาท
จากการเปรียบเทียบราย การบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่แจ้ง 6 ครั้ง ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่า บัญชีธนาคารของพ.ต.วีระวุฒิ มีกระแสเงินไหลเวียนผิดปกติ โดยมียอดฝากเข้าถึง 527.8 ล้านบาท แล้วถอนออก 526.89 ล้านบาท ขณะที่บุคคลใกล้ชิดมีกระแสเงินฝากและเงินลงทุนไหลเวียนจำนวนมากสัมพันธ์กัน โดยในจำนวนเงินฝากที่ไหลเข้าบัญชีพ.ต.วีระวุฒิ มีเช็คธนาคารจำนวน 4 ฉบับ วงเงินรวม 17,107,963.65 บาท ซึ่งนางสาวอารยา กำปั่นแก้ว กรรมการบริษัท พี.เอส.ซี.สตาร์ท โปรดักส์ จำกัด รับว่าเป็นผู้นำฝากเข้าบัญชีให้ โดยอ้างชำระคืนเงินกู้จากการร่วมทำธุรกิจหยงข้าว แต่ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน
ส่วนรถยนต์โตโยต้าซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นขณะดำรงตำแหน่ง เมื่อเทียบกับรายได้ที่แจ้งระหว่างปีภาษี 2554-2557 ที่ระบุมีรายได้เพียง 5.01 ล้านบาท มูลค่ารถยนต์ดังกล่าวมากเกินฐานะและเกินกว่ารายได้แต่ละเดือนที่พึงจะได้รับ
2. ทรัพย์สินในชื่อนางสาวชุฏิมา วัจนะพุกกะ (หรือวัชรพุกกะ) อดีตภริยานามสกุลเดิม “ญาติมิ” หลังหย่าเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ใหม่ดังกล่าว และในชื่อนางสาวอภิญญา วัฒนา มีมูลค่ารวม 367,313,112.70 บาท เป็นเงินฝากบัญชีธนาคารพาณิชย์ 16 บัญชี ทั้งแบบฝากประจำ ออมทรัพย์ สลากออมสิน มีตั้งแต่ยอดฝาก 1 ล้านบาท 10 ล้านบาท กว่า 30 ล้านบาท จนถึง กว่า 60 ล้านบาท เงินลงทุนในบล.ไทยพาณิชย์ฯ 95.55 ล้านบาท ที่ดินย่านบางกะปิ 7.54 ล้านบาท รถยนต์โฟล์กสวาเกน 3.5 แสนบาท และมินิคูเปอร์ 1.1 ล้านบาท
นางสาวชุฏิมาชี้แจงอนุกรรมการไต่สวนฯ ป.ป.ช.ว่า เป็นเงินร่วมลงทุนกับเพื่อน ส่วนเงินในชื่อบัญชีนางสาวอภิญญา วัฒนานั้น นางสาวชุฏิมาอ้างว่า หลังหย่าพ.ต.วีระวุฒิ ยังจ่ายค่าเลี้ยงดู แต่ไม่ต้องการให้ญาติพี่น้องรับรู้ นางสาวชุฏิมาจึงขอให้ นางสาวอภิญญาซึ่งเป็นเพื่อน เปิดบัญชีไว้รับแทนให้
ป.ป.ช.ไต่สวนพบว่า นายทวีศักดิ์ หิรัญรักษ์ กรรมการบริษัท สยามรักษ์ จำกัด สั่งให้นำเงินสดฝากและโอนเข้าบัญชีนางสาวชุฏิมารวม 6 ครั้ง 6.8 ล้านบาท เพื่อตอบแทนที่อ.ค.ส.เลือกบริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายข้าวถุง โดยนายศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ ผอ.อ.ค.ส.ขณะนั้นให้เลขบัญชีธนาคารนี้มา ด้านพนักงานขับรถประจำตัวพ.ต. วีระวุฒิ ก็ได้รับคำสั่งให้นำเงินสดเข้าบัญชีนางสาวชุฏิมาหลายครั้ง
ส่วนที่ดินย่านบางกะปินางสาวชุฏิมาอ้างซื้อมาขณะยังสมรส หลังหย่าได้ถือกรรมสิทธิ์ผู้เดียว แต่จากการไต่สวนได้ความว่า นายสมคิด เอื้อนสุภา หนึ่งในเครือข่าย “เสี่ยเปี๋ยง-อภิชาติ จันทร์สกุลพร” ผู้ต้องคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีและจำนำข้าว มอบเงินให้ 10 ล้านบาท แล้วนำไปซื้อที่แปลงดังกล่าว
รถยนต์โฟล์กสวาเกน ก็รับโอนจากบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ของ“เสี่ยเปี๋ยง”อีกเช่นกัน
3. ทรัพย์สินในชื่อนางสาวอรชุมา วัจนะพุกกะ (ลูกสาว) เป็นที่ดิน 3 แปลง ย่านประเวศ มูลค่ารวม 41,607,000 ล้านบาท ซึ่งนางสาวอรชุมาแจ้งไม่สามารถมาให้ถ้อยคำอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.ได้ นางสาวชุฏิมา มารดา มีหนังสือชี้แจงแทนว่า พล.ต.ต.วีระวัฒน์ และนางอรณี ปู่และย่าของน.ส.อรชุมา ให้เงินโดยเสน่หาเพื่อซื้อที่ดินแปลงที่ 1 ส่วนแปลงที่ 2 และ 3 นั้น นายสมานและนางยัพนา ซื้อที่ดินไว้ ต่อมาโอนให้นางสาวชุฏิมาโดยเสน่หา และตนได้โอนต่อให้ลูกสาวในวันเดียวกัน แต่จากการสอบเส้นทางเงินที่ใช้ซื้อที่ดินแปลงที่ 1 ล้วนมาจากบัญชีธนาคารของพ.ต.วีระวุฒิ ส่วนแปลงที่ 2 และ 3 ผู้ขายให้การว่าพ.ต.วีระวุฒิเป็นผู้จ่ายเงินตัวจริง
4. ทรัพย์สินในชื่อนาง อรณี วัจนะพุกกะ (แม่) เป็นทรัพย์สินใหญ่อีกก้อน วงเงินรวม 357,555,747.16 บาท ประกอบด้วย บัญชีเงินฝากธนาคาร 22 บัญชี โดยธนาคารเดียวกันมีถึง 7-8 บัญชี วงเงินตั้งแต่หลักแสนบาท ถึงกว่า 36 ล้านบาท เงินลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ 4 แห่ง รวม 142.38 ล้านบาท ที่ดิน 7 แปลง รวม 7.91 ล้านบาท
นางอรณีแจ้งระหว่างปี 2554-2557 ยื่นรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ระบุมีเงินได้ 1.09 ล้านบาท ทั้งที่มีรายการฝากเงินจำนวนมาก 34 บัญชี 268.08 ล้านบาท ไม่สามารถชี้แจงที่มาได้ 22 บัญชี 207.35 ล้านบาท ป.ป.ช.เชื่อว่าเป็นการถือครองแทนพ.ต.วีระวุฒิ
เงินลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ฯนั้น นางอรณีอ้างว่าที่ให้รหัสซื้อขายหลักทรัพย์แก่พ.ต. วีระวุฒิ เพราะเคยให้เงินไปลงทุนหลายสิบล้านบาท และพ.ต.วีระวุฒิแจ้งจะนำพอร์ตบริษัทไปซื้อขายเอง มีกำไรจะเอามาคืนให้ ซึ่งฟังไม่ขึ้น ส่วนที่ดินนั้นตรวจเส้นทางเงินแคชเชียร์เช็คพบ พ.ต.วีระวุฒิโอนเข้าบัญชีนาง อรณีก่อนวันโอนทำนิติกรรม
5. ทรัพย์สินในชื่อพล.ต.ต. วีระวัฒน์ วัจนะพุกกะ (บิดา) เป็นบัญชีเงินฝากธนาคาร 7บัญชี เงินลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ 12.31 ล้านบาท และห้องชุดศาลาแดง โคโลเนต สีลม 6.2 ล้านบาท รวมมูลค่า 43,388,526.50 บาท
พล.ต.ต.วีระวัฒน์ ทำหนังสือชี้แจงว่าเป็นบัญชีรับเงินบำนาญและอีกแห่งเป็นเงินสะสมและดอกเบี้ย ส่วนที่เหลือเป็นบัญชีรับเงินฝากของนางอรณีเพื่อซื้อกองทุนฯ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วเป็นทรัพย์สินที่มากเกินฐานะ จึงเชื่อว่าเป็นการครอบครองแทน
6. ทรัพย์สินในชื่อนายสมาน ญาติมิ บิดานางสาวชุฏิมา วัชรพุกกะ อดีตภริยาพ.ต.วีระวุฒิ เป็นบัญชีเงินฝากธนาคาร 3 บัญชี มูลค่าทรัพย์สินรวม 5,901,267.90 บาท
นายสมานชี้แจงว่าเป็นเงินสดสะสมที่เก็บไว้ในประเทศ ไทยบางส่วน และเป็นเงินได้จากการขายที่ดินย่านสุขุมวิท 101 ในปี 2552 แต่ไต่สวนแล้วพบว่าเพิ่งมีการนำฝากเข้าบัญชีธนาคาร เมื่อปี 2556 โดยระหว่างปีภาษี 2554-2557 ก็ไม่ยื่นแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่มีเงินไหลเข้าบัญชีในช่วงนั้นถึง 9.19 ล้านบาท เกินกว่าฐานะจะพึงมีได้ และ
7. ทรัพย์สินในชื่อนางสาวชุตินันท์ ญาติมิ หลานสาวนางสาวชุฏิมา มูลค่ารถยนต์มินิ คูเปอร์ เพซแมน 1.4 ล้านบาท
จากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบันบริษัท โชติอรุณชัย จำกัด เป็นผู้ครอบครอง โดยซื้อต่อจากเต็นท์รถในราคา 1.67 ล้านบาท ซึ่งเต็นท์รถให้การสอดคล้องว่า ได้เคยซื้อรถยนต์โตโยต้า อัลพาร์ด จากนางสาวชุตินันท์ ในราคา 1.9 ล้านบาท ซึ่งมีชื่อพ.ต.วีระวุฒิ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ สอดคล้องกับที่แจ้งในรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ที่ระบุเคยมีรถรุ่นนี้ ต่อมานางสาวชุตินันท์ นำรถมินิฯคันดังกล่าวมาขายอีกใน ราคา 1.4 ล้านบาท โดยขณะนางสาวชุตินันท์มีชื่อครอบครองรถมีอายุเพียง 21 ปี ไม่มีรายได้พอจะซื้อทรัพย์สินนี้ได้ จึงเชื่อว่าเป็นการถือครองแทนที่เกิด จากความรํ่ารวยผิดปกติ
รวมทรัพย์ 896,554,760.28 บาท รวมดอกผลที่เกิดขึ้น จึงสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ศาลสั่งตอนท้ายด้วยว่า หากไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าวได้ทั้งหมดหรือได้แต่บางส่วน ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาภายใต้อายุความ 10 ปี แต่ต้องไม่เกินมูลค่าของทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน
รายงาน โดย ทีมข่าวการเมือง
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,511 หน้า 16 วันที่ 6 - 9 ตุลาคม 2562