กองทัพเรือ เตรียมจัดงาน “วันรำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.112” ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ระหว่างเวลา 10.00 – 18.00 น.โดยภายในงานดังกล่าว กองทัพเรือขอเชิญประชาชนร่วมน้อมรำลึกถึงพระอัจฉริยภาพของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจ รวมทั้งวีรกรรมอันหาญกล้าของบรรพชนทหารเรือ
กำหนดงาน“วันรำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.112” วันที่ 13 กรกฎาคม 2566
นอกจากการจัดกิจกรรม “วันรำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.112” แล้ว กองทัพเรือยังได้นำเสนอบทความ "ร.ศ.112 วิกฤตการณ์สยามเสียทรัพย์และดินแดน เพื่อแลกอิสรภาพความเป็นไทย " เพื่อเป็นการร่วมรำลึกถึงวิกฤตของชาติ ที่เหล่าเหล่าบรรพชนได้พาชาติพ้นภัยจากลัทธิอาณานิคม ที่เพียง “สูญเสียแต่ไม่สูญสิ้น”
“...ว่าตามจริงแล้ว ฉันมิได้อาลัยด้วยชีวิตแลทรัพย์ ถ้าตายเสียจะเป็นการกระทำให้ราชการเดินสะดวกแล้วก็เต็มใจ เป็นความสัตย์จริงดังนี้ แต่ครั้นจะฆ่าตัวตายในอันใช่กาลก็ไม่ควร จึงนอนขึงอยู่ดังนี้...”
ข้อความข้างต้นเป็นตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ทรงมีถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งทรงพระประชวรหนักอันเนื่องจากความกังวลพระทัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ ร.ศ. 112 และซ้ำกระทบกระเทือนพระราชหฤทัยจากการที่ทรงได้ยินได้ฟังเรื่องราวบางประการ
วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่คนไทยพึงเรียนรู้ เพื่อเตือนใจลูกหลานไทยให้ตระหนักว่า ครั้งหนึ่งผืนแผ่นดินไทยได้ประสบกับภัยสงครามอันน่าพรั่นพรึง นับตั้งแต่รัชกาลที่ 4 จวบจนต้นรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยต้องประสบกับภัยคุกคามจากชาติมหาอำนาจตะวันตกเป็นเวลาหลายสิบปี โดยเฉพาะกับประเทศฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี จึงทรงเร่งรัดให้เตรียมการรักษาพระนครอย่างเร่งด่วน เช่น การสร้างป้อมที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า เพื่อเป็นด่านแรก ที่จะยับยั้งข้าศึกที่จะเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงพระราชดำริว่า
“ถ้าศัตรูหลุดพ้นปากน้ำขึ้นไปได้แล้ว การป้องกันทั้งปวงเห็นเป็นอันยากยิ่งนัก ยังไม่มีความเชื่อถือในกำลังที่จะป้องกันภายในทั้งทางบกทางเรือเลย”
ในปี 2421 จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หลวงชลยุทธโยธิน (ชาวเดนมาร์ก) อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับการทหารมะรีน (นาวิกโยธิน) ออกแบบเขียนผังป้อมตามแบบป้อมทันสมัยของตะวันตก และเริ่มสร้างเมื่อปี 2427 โดยใช้เงินรายได้แผ่นดิน ซึ่งไม่เพียงพอ เพราะประเทศเร่งพัฒนาหลายด้านพร้อมกัน และต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก พระองค์จึงได้พระราชทานเงินจำนวน 10,000 ชั่ง (800,000 บาท) ดังความในพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า
“…ฉันได้ตั้งไว้ว่าจะให้หมื่นชั่ง เมื่อเงินเหลือจากทำการก่อสร้างจะได้ใช้ซื้อศาสตราวุธยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ สำหรับป้อมนั้น ให้บริบูรณ์ ขอให้ท่านเสนาบดีทั้งปวงในที่ประชุมได้กะการ พร้อมด้วยพระองค์เจ้าขจรจรัสวงษ์แลพระยาชลยุทธโยธินให้ได้ลงมือทำงานและสั่งของโดยเร็ววันที่สุด ที่จะทำได้เพราะตัวเงินนี้มีพร้อมอยู่ที่จะจ่ายได้เมื่อใดทุกเมื่อ”
ต่อมาป้อมปืนแห่งใหม่ของสยามได้สร้างเรียบร้อยในต้นปี พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรี เพื่อเสด็จทอดพระเนตรป้อม ในวันที่ 10 เมษายน 2436 และได้ทรงพระราชทานนามป้อมปืนแห่งนี้ว่า “ป้อมพระจุลจอมเกล้า” ซึ่งต่อมาพระองค์ได้มีพระราชดำริให้สั่งซื้อปืนใหญ่อาร์มสตรอง ขนาดปากลํากล้อง 6 นิ้ว จํานวน 7 กระบอก จากบริษัท เซอร์ ดับบลิว จี อาร์มสตรอง จํากัด มาติดตั้ง ปืนใหญ่ทั้ง 7 กระบอกอยู่ในหลุมปืน จัดเป็นปืนใหญ่บรรจุท้ายชุดแรก ที่กองทัพเรือไทยเป็นเจ้าของปืน กระสุนหนักนัดละเกือบ 50 กิโลกรัม มีระยะยิงไกลสุด 8,042 เมตร มีพลเรือโท พระยาวิจิตรนาวี ผู้ควบคุมการติดตั้งปืนใหญ่ประจําป้อม และร้อยเอก ฟอน โฮลต์ เป็นครูสอนวิชาปืนใหญ่ และเป็นผู้บังคับการป้อมคนแรก ปืนดังกล่าวนี้ คราวจะยิงต้องใช้แรงน้ำมันอัดยกปืนให้โผล่พื้นหลุม และเมื่อยิงกระสุนพ้นลำกล้องไปแล้ว ปืนจะลดตัวลงมาอยู่ในหลุมตามเดิม คนไทยจึงเรียกว่าว่า “ปืนเสือหมอบ”
นอกจากนี้พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยห่วงใยบ้านเมืองเหลือคณานับ ซึ่งปรากฏชัดเจนในพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า
“...ฉันรู้ตัวชัดอยู่ว่า ถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามได้สุดสิ้นไปเมื่อใด ชีวิตฉันก็คงจะสุดสิ้นไปเมื่อนั้น...”
หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็เป็นไปดังที่พระองค์ทรงคาดไว้ทุกประการ กล่าวคือ เมื่อไทยไม่ยอมยกดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงตามที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง ในวันที่ 13 กรกฎาคม ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสจึงนำเรือรบสองลำ ชื่อเรือโกแมต และเรือแองคองสตังค์ มุ่งหน้าเข้ามาที่กรุงเทพพระมหานคร เพื่อสมทบกับเรือลูแตงที่เข้ามาจอดอยู่ก่อนหน้า รัฐบาลไทยเห็นว่าฝรั่งเศสล่วงละเมิดสิทธิแห่งสนธิสัญญาปีคริสต์ศักราช 1856 รัฐบาลไทยจึงยอมไม่ได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการเป็นข้อปฏิบัติขั้นเด็ดขาดว่า
“หากเรือของฝรั่งเศสล่วงล้ำปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามา ให้ฝ่ายไทยเริ่มยิงปืนใหญ่เตือนด้วยกระสุนดินเปล่า ตามแนวปฏิบัติของสากล และหากยังไม่เชื่อฟังจะยิงด้วยกระสุนที่บรรจุดินปืนต่อไป”
จากนั้นเรือโกแมต และเรือแองคองสตังค์ได้มาถึงปากน้ำเจ้าพระยา ขณะนั้นฝ่ายไทยมีเรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือหาญหักศัตรู และเรือทูลกระหม่อม จอดระวังการณ์ อยู่ที่แนวป้องกัน พร้อมทั้งมีทหารประจำการอยู่ในป้อมพระจุลจอมเกล้าและป้อมผีเสื้อสมุทร แม้ว่าผู้แทนฝ่ายไทย ได้ขึ้นไปเจรจากับผู้บังคับการบนเรือรบฝรั่งเศส แต่ก็ไร้ผล เพราะเรือฝรั่งเศสยังคงแล่นผ่านสันดอนปากน้ำเข้ามาโดยมีเรือ เจ เบ เซย์ เป็นเรือนำร่อง การต่อสู้ระหว่างไทยและฝรั่งเศสที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาจึงอุบัติขึ้น
เมื่อผู้บังคับการป้อมพระจุลจอมเกล้าเห็นเรือรบฝรั่งเศสแล่นผ่านกระโจมไฟเข้ามา จึงสั่งให้ทหารทุกนายประจำสถานีรบ และสั่งให้เริ่มปฏิบัติการตามพระบรมราชโองการคือ เริ่มยิงปืนใหญ่ด้วยกระสุนดินเปล่า 1 นัด เพื่อเป็นสัญญาณเตือนมิให้เรือรบฝรั่งเศสแล่นเข้ามา แต่เรือรบฝรั่งเศสก็ยังแล่นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยจึงได้ยิงกระสุนบรรจุดินปืนนัดที่ 2 ให้กระสุนตกข้างหน้าเรือเป็นการเตือน จากนั้นทางป้อมพระจุลจอมเกล้าก็เห็นว่าเรือรบฝรั่งเศสชักธงชาติขึ้นยอดเสาทุกเสา และที่เสากราฟเป็นสัญญาณว่าประจำสถานีรบ พร้อมกับยิงมาทางป้อมพระจุลจอมเกล้า ฝ่ายไทยจึงยิงเรือรบฝรั่งเศสด้วยปืนทุกกระบอก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกำลังแสนยานุภาพของสองประเทศที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้เรือรบฝรั่งเศสทั้ง 2 ลำ คือเรือโกแมตและเรือแองคองสตังค์สามารถแล่นล่วงเข้ามาจอด ณ บริเวณหน้าสถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ท่ามกลางความสงัดเงียบวังเวงแห่งรัตติกาล ต่อมาเหตุการณ์สู้รบในคืนวันที่ 13 กรกฎาคม
ร.ศ. 112 หนังสือพิมพ์ของอังกฤษที่ออก ณ กรุงเทพมหานคร รายงานข่าวในเวลาต่อมาว่า ทหารไทยเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ 41 นาย และหายสาบสูญ 1 นาย ส่วนฝ่ายทหารฝรั่งเศสเสียชีวิต 3 นาย
วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ครั้งนั้น ได้นำมาสู่สถานการณ์ที่ฝรั่งเศสเรียกร้องผลประโยชน์ และการครอบครองดินแดนไทยยืดเยื้ออยู่นานกว่า 10 ปี ไทยต้องยอมสูญเสียดินแดนเป็นจำนวน ถึง 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดให้ฝรั่งเศสไป เพื่อรักษาผืนแผ่นดินส่วนใหญ่ และเอกราชไว้การยุทธ์ของกองทัพไทย
นอกจากนี้แม้ว่าฝ่ายไทยจะด้อยแสนยานุภาพกว่าฝรั่งเศสด้วยประการทั้งปวง ทว่าจิตใจและความหาญกล้าของทหารไทยนั้นมิได้ย่นย่อเกรงกลัวข้าศึกแต่ประการใด ในปัจจุบัน ป้อมพระจุลจอมเกล้าที่ตั้งตระหง่าน ณ ปากน้ำเจ้าพระยาจึงเป็นอนุสรณ์แห่งวีรกรรมในเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ที่อนุชนไทยควรรำลึกถึงวีรชนผู้เสียสละอย่างไม่สิ้นสุด
ภายหลังจากเหตุการณ์ ร.ศ.112 ทำให้ประเทศไทยต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม และสูญเสียดินแดนบางส่วนให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับประเทศไทยที่จะต้องรีบเร่งปรับปรุงทั้งองค์วัตถุและบุคลากร ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งพระโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาวิชาด้านการปกครอง การทหารบก และการทหารเรือ ณ ประเทศในทวีปยุโรป เพื่อนำวิชามาปรับปรุงประเทศให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมกับอารยประเทศ ในโอกาสนี้ทรงส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ (พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) ไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษเป็นพระองค์แรก และทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ นับว่าเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกที่เป็นนายทหารเรือที่ทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2449 (ร.ศ. 125)พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสร็จมาทรงเปิดโรงเรียนนายเรือ โดยใช้ชื่อว่า “โรงเรียนนายเรือ ร.ศ. 125” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานลายพระราชหัตถเลขา ไว้ในสมุดเยี่ยมของโรงเรียนนายเรือ ดังนี้
“วันที่ 20 พฤษจิกายน ร.ศ. 125 เราจุฬาลงกรณ์ ปร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจซึ่งได้เห็นการทหารเรือมีรากหยั่งลงแล้ว จะเป็นที่มั่นสืบไปในภายหน้า”
โดยพระราชหัตถเลขานี้ได้จารึกไว้ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่รากฐานการทหารเรือไทยได้หยั่งลงแล้ว ทางการทหารเรือไทยจึงถือว่าวันที่ 20 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันกองทัพเรือสืบจนปัจจุบัน