สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ เสนอถอนร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมฯ 

06 ก.พ. 2566 | 12:13 น.

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ จี้ครม.ถอน "ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมฯ" ชี้ เนื้อหาล้าสมัย-ถูกแทรกแซงจากอำนาจรัฐ-ขาดการมีส่วนร่วมของคนในวิชาชีพ

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์เสนอถอน "ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน" ออกจากการพิจารณาของที่ประชุมร่วมรัฐสภาดังกล่าว เนื่องจากร่างฎหมายฉบับนี้ดำเนินการร่างและผ่านขั้นตอนยาวนานจึงไม่สอดรับกับบริบทและสังคมสื่อที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งยังมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะกับยุคสมัย

ทั้งนี้ ตามที่จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ 8 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ ในวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 โดยมีการบรรจุวาระเร่งด่วนเพื่อพิจารณา "ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …." ตามที่คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอบรรจุอยู่ในวาระ

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเสนอให้ถอนร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวฯ ออกจากการพิจารณาของที่ประชุมร่วมรัฐสภาเพราะร่างฎหมายนี้ดำเนินการร่างและผ่านขั้นตอนยาวนาน

ขณะที่บริบทและสังคมสื่อเปลี่ยนแปลงไปมากยังมีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะกับยุคสมัย และมีสื่อใหม่ ๆ เกิดขึ้นไม่เข้าใจที่มาและหลักคิด แนวทางของกฎหมายฉบับนี้

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย พบว่า กำลังมีการถกเถียงครั้งใหญ่ในวิชาชีพสื่อมวลชนของฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่มีความกังวลต่อร่างพระราชบัญญัติฯในหลายมาตราและขาดการมีส่วนร่วมของคนในวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างทั่วถึง

พร้อมกับกังวลประเด็นการเปิดช่องให้รัฐใช้อำนาจแทรกแซงความอิสระของสื่อมวลชนและทำลายกลไกการกำกับดูแลกันเองโดยเฉพาะที่มาของคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนและที่มาของรายได้สภาวิชาชีพสื่อมวลชน เพราะร่างพ.ร.บ.ฯ ระบุในบทเฉพาะกาลให้ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคณะกรรมการในวาระเริ่มแรก

รวมทั้งให้รัฐบาลจ่ายเงินให้ทุนประเดิมและจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่าย รวมถึงเงินที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ปีละไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาท

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เห็นว่า รัฐสภาควรคำนึงถึงการรับรู้ และความมีส่วนร่วมของสังคมที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายใด ๆ โดยตรงในฐานะเจ้าภาพที่ย่อมรู้ว่ากฎหมายจะเข้าสภาช่วงเวลาใด

สมควรที่จะกำหนดเวลาจัดเวทีสาธารณะล่วงหน้าเพื่ออธิบายให้เข้าใจในวงกว้างและก็ให้หลักประกันในหลักการที่เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของสังคมที่เกี่ยวข้อง แต่กลับละเลยเหมือนไม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่จะถูกบังคับใช้และเกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนี้ และมีทีท่าจะเร่งรีบรวบรัดให้กฎหมายออกมามีผลบังคับใช้ใน 3 วาระ

จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีถอนร่างพระราชบัญญัติฯฉบับดังกล่าวออกจากการประชุมร่วมของรัฐสภาและดำเนินการจัดเวทีเพื่อชี้แจงต่อสาธารณะ ตอบคำถามและรับฟังความคิดเห็น โดยเฉพาะแวดวงสื่อมวลชนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายโดยตรง มิฉะนั้นจะเป็นการบังคับปฏิรูปที่ทุกภาคส่วนไม่ได้มีโอกาสที่จะร่วมกัน