สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ จ่อออกแถลงการณ์-ฟ้อง line today

30 ม.ค. 2566 | 11:50 น.

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เตรียมออกแถลงการณ์ ขู่ฟ้อง line today ละเมิดลิขสิทธิ์และผิดสัญญาเผยแพร่ข่าวส่งผลกระทบความน่าเชื่อถือ

นายระวี ตะวันธรงค์  Executive Vice President เนชั่น กรุ๊ป และนายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์พูดคุยใน "รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว" ถึงอิทธิพลของแพลตฟอร์มที่เป็นปัญหากระทบคนทำสื่อโดยเฉพาะสื่อออนไลน์ว่า ปัจจุบันทุกสื่อใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ถึง 99% อยู่ที่ว่าใครใช้แบบไหนซึ่งวิธีการและรูปแบบการนำเสนอก็แตกต่างกันออกไปทำให้สื่อต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานมาพักใหญ่แล้ว ทุกคนปรับตัวหมด  

ขณะเดียวกันหลายปีที่ผ่านมาแพลตฟอร์มออนไลน์ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง มีการปรับตัวเร็วอยู่ตลอดเวลาซึ่งสื่อมวลชนเองก็ต้องปรับตัวตาม เนื่องจากต้องพึ่งพิงแพลตฟอร์มเหล่านี้เพราะไม่มีช่องทางอื่น ปรับครั้งแรกยังไม่แล้วเสร็จ ระบบของแพลตฟอร์มก็เปลี่ยนอีกแล้ว 

"หลายสื่อก็ปรับตัวแบบบิสซิเนสโมเดลที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ไปจัดอีเวนท์หรือไปทำงานร่วมกับสปอนเซอร์เพิ่มเติมแต่การพึ่งพิงผู้อ่านบนแพลตฟอร์มออนไลน์ก็ต้องทำอยู่แต่สื่อมวลชนที่อยู่ภูมิภาคอาจจะไม่ต้องปรับตัวเยอะเพราะเขาต้องมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน การที่สื่อต้องปรับตัวมากนั้นเราต้องรู้ว่า กลุ่มเป้าหมายที่ดูเราเป็นใคร พอเรารู้ว่า เป็นใครก็จะมีโอกาสเข้าถึงเขามากขึ้น เจาะจงเฉพาะกลุ่มไปเลย"

นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ บอกว่า หลายปีที่ผ่านมาไลน์ใช้ไลน์โอเอกับไลน์ไอดอล ซึ่งก่อนหน้านี้เราใช้ไลน์โอเอแต่ละเดือนต้องจ่ายเงินให้ไลน์ในการสมัครใช้งาน ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมากเดือนละ 5,000 – 10,000 โดยไลน์ให้โอกาสในการสร้างคอมมูนิตี้ เราก็จะทราบจำนวนผู้ติดตามว่า มีเท่าไหร่ บางคนหลักหมื่น บางคนหลักแสนหรือบางคนหลักล้าน

เราส่งข่าวตรงไปถามกลุ่มเป้าหมายที่ติดตามเราแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ไลน์ไอดอลประสานมาว่า จะยุติ เนื่องจากปัญหาทางธุรกิจที่เขาได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ขณะที่เราสร้างคอมมูนิตี้ไปแล้ว สร้างกลุ่มคนที่สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกไลน์ และไลน์ไอดอลที่เขาติดตามสื่ออยู่ ขณะเดียวกันสื่อก็ทำหน้าที่ส่งข่าวให้ประชาชนโดยที่ไม่ได้ทำธุรกิจค้าขายเพียงแต่ส่งข่าวให้เป็นหลักเท่านั้น เราก็แจ้งกับไลน์ไอดอลไปว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้ 

เขาแจ้งกลับมาว่า ยังไงก็ต้องดำเนินการแบบนี้เพราะเขามีโมเดลใหม่มาให้ดู ถ้าสื่อทำแบบเดิมอีก เช่น วันหนึ่งส่งข่าวมา 20 หรือ 30 ข่าว เราจะเสียเงินเป็นหลักแสนหลักล้านต่อเดือน บางคนคำนวณว่า ต่อปีต้องเสียเงินเกือบ 10 ล้านให้กับไลน์ซึ่งปัญหาเหล่านี้ เราบอกว่าไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เพราะเราสร้างคอมมูนิตี้ให้คุณ สร้างผู้ติดตามให้คุณ สร้างคนใช้งานให้คุณจำนวนมาก

"เราออกแถลงการณ์สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ไปตั้งแต่ช่วงปีใหม่เกือบ 1 เดือนแล้วแต่ทางไลน์ยังไม่ได้พิจารณาอะไรกลับมาจนเมื่อ 3 - 4 วันที่ผ่านมา เขาเพิ่งจะให้คำตอบกลับมา ทางเอเจนซี่ของไลน์บอกจะขอนัดคุยวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ว่าจะทำอย่างไรกันดี"

ระวี บอกว่า ในส่วนของ LINE  มีอยู่ 2 ประเด็น  คือ 1.ไลน์ไอดอล 2.ไลน์ทูเดย์ เป็นสิ่งที่เรากดอ่านกันอยู่ทุกวันนี้ในไลน์ จากสำนักข่าวต่าง ๆ ไลน์ทูเดย์เราส่งข่าวให้เขา โดยมีส่วนแบ่งโฆษณา ระหว่างที่ไลน์ทูเดย์หาโฆษณามาลง เราก็ได้รับส่วนหนึ่ง

ส่วนแบ่งตรงนี้สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ในสัญญาของแต่ละสื่อที่ลงไป แต่ละสื่อบอกว่า นำเสนอข่าวได้บนไลน์เท่านั้น ห้ามเสนอผ่านทางแฟลตฟอร์มอื่นแต่ปรากฏว่า ต้นเดือนที่ผ่านมา พบว่าไลน์นำข่าวที่เราส่งให้ไลน์ทูเดย์ ไปเผยแพร่บน Google เป็นข่าวชิ้นเดียวกันคนที่เข้าไปหาข้อมูลใน Google แทนที่จะเจอสำนักข่าวของเราก็เจอไลน์ก่อน เลยเราถึงบอกว่าอันนี้เป็นการผิดสัญญาโดยตรง 

"ภายในวันจันทร์ที่ 30 มกราคม เราจะออกแถลงการณ์ยื่นคำร้องไปยังไลน์ทูเดย์ว่า คุณผิดสัญญาข้อนี้ มีโอกาสที่จะถูกฟ้องร้องได้ แต่เราก็จะดูท่าทีของเขาก่อนว่าอย่างไร คงต้องคุยกันเยอะเพราะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และผิดสัญญาโดยตรงซึ่งทางสมาคมฯมีแนวทางในการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ส่วนไลน์ไอดอลเราไม่ได้เรียกร้องอะไรมากไปกว่า การเป็นพาร์ทเนอร์ในบิสซิเนสโมเดล สิ่งที่ส่งสารถึงประชาชนได้ โดยไม่กระทบตัวเลขทางธุรกิจ"

ระวี ยอมรับว่า การที่ประชาชนค้นหาข้อมูลใน Google แล้วเจอข่าวที่ไลน์ก่อนนั้น มีผลอย่างมาก 80% ที่ใช้งาน Google จะกด 1 ใน 5 ของข่าวที่ขึ้นมาก่อน เป็นอันดับต้นๆ สิ่งที่เขาเลือก คือ ความน่าเชื่อถือของเว็ปไซด์หรือชื่อสื่อนั้น ๆ  และที่ค้นหาว่าตรงประเด็นหรือไม่ เป็นอันดับที่ให้ความสำคัญ เขาเรียกว่า SEO หรือ Search Engine Optimization คือ กระบวนทางการตลาดดิจิทัลที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณ ติดหน้าแรกในการค้นหาบนหน้า Google

ทุกสื่อพยายามทำให้ SEO ของตัวเองแข็งแรง อยู่บนอันดับต้นๆเพื่อให้ถูกค้นหาแล้วเจอก่อน ทุกสื่อทำแบบนี้แล้วปรากฏว่า ไลน์มาขึ้นแทน สื่อก็ไม่ค่อยพอใจเพราะผิดสัญญา ทำให้การมองเห็นลดลง ตรงนี้เป็นประเด็นใหญ่ ที่เรากำลังหารือกันแล้วออกแถลงการณ์ เมื่อการมองเห็นน้อยลง คนกดเข้าไปอ่านน้อยลง ทำให้รายได้ลดลง ปัญหาสำคัญเลย คือ ผลกระทบกับค่าใช้จ่าย เงินเดือน รายได้ของสื่อลดลงด้วย ที่สำคัญ คือเรื่องของความน่าเชื่อถือ  

ระวี เปิดเผยว่า ต้องเจรจาถึงความชัดเจนก่อนว่าอยู่กันแบบเดิมได้หรือไม่ เราไม่อยากมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพราะทุกวันนี้การทำสื่อมีรายจ่ายไม่น้อย กว่าจะได้มา 1 คอนเทนท์ แล้วคุณนำไปเผยแพร่ให้ประชาชนดูต่อแทนเราแทนที่จะเข้ามาดูเราโดยตรง ทำให้ต้นทุนของเราเพิ่มขึ้นด้วย ประเด็นคือขอแบบเดิมก่อน ถ้าไม่ได้ก็ต้องมีวิธีอื่นในการเจรจาว่า ยังคงใช้แพลตฟอร์มนี้ได้หรือไม่

นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ชี้แจงว่า สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์หรือคนอื่นๆที่ผลิตข่าวออนไลน์ ไม่มีหน่วยงานไหนในภาครัฐ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) หรือ กสทช.มาดูแลตรงนี้ เพราะเขาคงไม่เข้าใจว่า คือ อะไร มีเป้าหมายหรือปัญหาอย่างไร  จึงต้องลองทำด้วยตัวเองและกำกับดูแลกันเองโดยเฉพาะสื่อที่เป็นออนไลน์ แต่ทีวีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

"ปีนี้สมาคมผู้สื่อข่าวออนไลน์ พยายามที่จะสร้างคอมมูนิตี้สแตนดาร์ดในแบบของไทยเพื่อเจรจากับแพลตฟอร์ม ตัวอย่างเช่นปลายปีที่ผ่านมา คลิปวิดีโอที่ถูกนำเสนอข่าวบนช่องทีวีช่องหนึ่งซึ่งผ่านการตรวจสอบแล้วว่า ไม่ได้ผิดอะไร เป็นสิ่งที่นำเสนอได้

ปรากฏว่า เมื่อนำเสนอบนแพลตฟอร์ม อย่าง TikTok กลับโดนแบนช่องไปเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรโดยไม่มีการเตือนก่อน ช่องนั้นมีผู้ติดตามหลักล้าน ทั้งที่เป็นคลิปเดียวกันแต่มีคนอื่นหยิบไปนำเสนอแต่กลับไม่โดนแบน" 

เป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญว่า เราพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างประเทศมาก ไม่มีการกำกับดูแลจากภาครัฐทำให้หลายเรื่องสื่อทำงานยากมากขึ้น ความจริงแล้วอยากให้มีผู้ใหญ่เข้ามารับทราบเพื่อควบคุมตรงนี้ เพื่อปรึกษาหารือกัน ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบกันมากเกินไป 

เวลาแพลตฟอร์มเข้ามาใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มอะไรก็แล้วแต่ ในประเทศไทยต้องพึ่งพาสื่อก่อนเพราะมี "เล็กกูล่า คอนเทนท์" ทุกวันสื่อจำเป็นต้องผลิตคอนเทนท์ให้กับประชาชนตลอดเวลา

ขณะที่ถ้าเป็น YouTuber เขาไม่ได้ผลิตเป็นประจำทุกวันจึงไม่พอสำหรับคอมมูนิตี้ของแพลตฟอร์มที่จะทำให้แพลตฟอร์มนั้น มีคนเข้ามาจำนวนมาก ดังนั้น เริ่มต้นเขาต้องพึ่งพาสื่อก่อน เมื่อคนติดตามมากขึ้นหรือดังแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสื่อต่อไป บางทีนำเสนอข่าวสารเองแต่ผิด เลยกลายเป็นเฟกนิวส์ซึ่งไม่ค่อยเป็นธรรมกับสื่อเท่าไร 

นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ยกตัวอย่างว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เคยพูดเรื่องนี้ให้กับหลายแพลตฟอร์ม มีอยู่แพลตฟอร์มหนึ่งคือ YouTube ที่เห็นด้วยและทำตามประเทศไทย เขามี YouTuber มีคอนเทนท์มหาศาล

เมื่อมีโอกาสไปคุยกับ YouTube ที่สิงคโปร์ แนะนำว่า ทำไมถึงไม่แบ่งพื้นที่ส่วน 1 ในหน้าแรกให้เป็น News Only ซึ่งแต่ละประเทศก็ถูกคัดเลือกมาแล้วว่าเป็นสื่อจริง ๆ ที่ทำหน้าที่ ตรวจสอบ เนื้อหาจริง ๆ ที่ได้รับการติดตามจากประชาชน ปรากฏว่าเขาเห็นด้วยแล้วทำตาม  

สังเกตว่าตอนนี้เราเปิดเข้าไปใน YouTube หน้าแรกจะมีแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า News  อยู่ซึ่งเป็นข่าวโดยตรงถ้าคุณจะดูวิดีโออะไรก็ได้แต่ถ้าคุณอยากดูที่เป็นข่าวจริง ๆ คุณก็กดตรงที่เป็น News เนื้อหาตรงนั้นก็จะได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าปกติ นี่คือข้อ 1 ที่เราต่อสู้กันมาแล้ว YouTube ให้ความเคารพในการทำงานตรงนี้ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เฉพาะประเทศไทยแต่แพลตฟอร์มอื่นเรายังไม่เห็นดำเนินการตรงนี้เท่าไหร่

ส่วนความเป็นไปได้ที่เราจะมีแพลตฟอร์มเองโดยไม่ต้องพึ่งแฟลตฟอร์มของต่างประเทศนั้น ระวี ตอบว่า ดำเนินการมา 3 ปีแล้วแต่ไม่มีใครช่วยทำและงบประมาณก็ไม่มี (กล่าวพร้อมหัวเราะ) ผมอยากให้ประเทศไทยมีแพลตฟอร์มของตัวเองมากและปีนี้ก็พยายามที่จะต่อสู้เรื่องนี้แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า คำว่าแพลตฟอร์ม ไม่ได้แปลว่า แพลตฟอร์มสำหรับยูเซอร์ในการทำแชท หรือในการทำวิดีโอแข่งกับ YouTube แต่ต้องเป็นแพลตฟอร์มสำหรับคอนเทนท์โดยตรง วันนี้ก็มีบางคนทำขึ้นมา เป็นเพียงทาร์เก็ตกรุ๊ปบางส่วนซึ่งบางทีก็ทำได้น่าสนใจแต่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง