รู้จักโรคภูมิแพ้-หอบหืดสาเหตุ "ต๊ะ กันตนา" เสียชีวิต น่ากลัวแค่ไหน อ่านเลย

30 ต.ค. 2565 | 01:15 น.

รู้จักโรคภูมิแพ้-หอบหืดสาเหตุ "ต๊ะ กันตนา" เสียชีวิต น่ากลัวแค่ไหน อ่านเลยที่นี่มีคำตอบ หมอเฉลิมชัยรวบรวมข้อมูลสาเหตุ วิธีการรักษาไว้ให้แล้ว

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

น่าเสียดาย ต๊ะ กันตนา เสียชีวิตด้วยโรคภูมิแพ้-หอบหืด มาเรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่องโรคภูมิแพ้-หอบหืด ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้

 

จากกรณีต๊ะ กันตนา หรือนายนิรัตติศัย กัลย์จาฤก ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 61 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการจากไปก่อนวัยอันควร เนื่องจากชายไทยในปัจจุบันมีอายุเฉลี่ย 73 ปี ยังความเสียใจให้กับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเป็นอย่างมาก

 

โดยต๊ะ กันตนา เป็นทายาทคนที่สี่ของคุณประดิษฐ์ กัลย์จาฤก ผู้ก่อตั้งค่ายละครกันตนา

 

เรียนจบศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต อดีตเคยเป็นทั้งนักแสดง ผู้จัด และผู้กำกับทั้งละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง

 

เนื่องจากต๊ะ กันตนา ได้จากไปด้วยโรคภูมิแพ้-หอบหืด วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจ และหาความรู้เรื่องโรคภูมิแพ้หอบหืดกัน

 

โรคภูมิแพ้ (Allergic Disease)

 

สาเหตุ : เกิดจากการทำงานของภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานที่ขยัน หรือทำงานไวมากเกินไป (Hypersensitive) เป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ครอบครัว ร่วมกับสิ่งแวดล้อม

อาการและอาการแสดง : สามารถมีอาการปรากฎออกมาได้ 5 อวัยวะด้วยกัน โดยทั้งหมดล้วนแต่เกิดจากภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานขยันทำงานมากเกินไปทั้งสิ้น ได้แก่

 

  • จมูก : ภูมิต้านทานในจมูก เมื่อทำงานมากเกินไป ก็จะจามเพื่อขับไล่เชื้อโรค น้ำมูกไหลเพื่อล้างเชื้อโรค คันเพื่อที่จะแคะเอาเชื้อโรคออกไปให้พ้น ส่วนการคัดแน่นจมูกเป็นการปิดประตูไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย ซึ่งในคนปกติ ภูมิต้านทานในจมูกจะทำงานทั้ง 4 อย่างแบบพอดีหรือเหมาะสม คือจะทำงานเฉพาะเวลามีของอันตรายหรือมีเชื้อโรคเท่านั้น แต่คนที่เป็นภูมิแพ้ จะมีภูมิต้านทานที่ทำงานไวเกิน แม้ไม่มีสิ่งของอันตรายหรือเชื้อโรคเข้าจมูก จมูกก็จะทำงานขับไล่ จึงเกิดความทุกข์ทรมาน จากการจาม น้ำมูกไหล คันจมูก และคัดจมูกที่เรื้อรังต่อเนื่องกัน ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) แต่ทั่วไปมักจะเรียกว่า โรคแพ้อากาศ

 

  • หลอดลม : ภูมิต้านทานของหลอดลมที่ทำงานมากเกินไป ก็จะมีการไอเพื่อขับไล่เชื้อโรคออกจากหลอดลม สร้างของเหลวมาดักเชื้อโรคแล้วไอทิ้งเรียกว่าเสมหะ และหลอดลมจะมีการหดตัวหรือตีบตัวลง เพื่อกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปในปอด จึงทำให้มีอาการไอ เสมหะมาก หายใจหอบเหนื่อย มีเสียงดังวี้ด จากหลอดลมที่หดตัวลง

 

  • ผิวหนัง : จะเกิดอาการคัน ผื่นแดงเรื้อรัง ในบางรายผิวหนังจะบวมแดงแบบลมพิษ

 

  • ทางเดินอาหาร : จะมีอาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเหลว ซึ่งเป็นการที่ร่างกายพยายามจะขับของที่ตนเองคิดว่าอันตรายออกไปให้พ้น ในบางรายจะมีผื่นคันขึ้นด้วย เรียกว่าแพ้ยาหรือแพ้อาหาร

 

  • เยื่อบุตา : จะทำให้เกิดอาการคันตา ตาแดง น้ำตาไหล ตรวจแล้วไม่มีเชื้อโรคอะไร

ทั้งหมดที่กล่าวมา ถือว่าเป็นโรคเดียวกัน คือโรคภูมิแพ้ แต่สามารถแสดงออกได้ถึง 5 อวัยวะ ได้แก่

 

  • จมูก เรียกชื่อว่าแพ้อากาศ หรือจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)
  • หลอดลม เรียกชื่อว่าหอบหืด (Asthma) หรือภูมิแพ้ของหลอดลม บางคนก็เรียกว่าหลอดลมไวเกิน
  • ผิวหนัง เรียกชื่อว่าผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Dermatitis) หรือลมพิษ
  • ทางเดินอาหาร เรียกชื่อว่าแพ้ยาแพ้อาหาร (Drug/Food Allergy)
  • ตา เรียกชื่อว่าตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรือภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis)

 

การวินิจฉัยโรค : จะวินิจฉัยได้จากประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม จะสามารถวินิจฉัยได้แม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยการทดสอบภูมิแพ้โดยสะกิดผิวหนัง (Allergy Skin Prick Test) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด แม่นยำที่สุด ที่แพทย์โรคภูมิแพ้ทั่วโลกใช้กันมีความถูกต้องแม่นยำ มากกว่าวิธีการเจาะเลือดตรวจ ซึ่งจะมีผลแม่นยำน้อยกว่า มีผลบวกลวง(False Positive) ค่อนข้างมาก ทำให้การรักษามีความสับสน และผิดพลาดได้

 

การรักษา :

 

  • การใช้ยา เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ลดความทุกข์ทรมานจากอาการ เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้คัน ยาลดน้ำมูก ยาแก้คัดจมูก ยาขยายหลอดลม เป็นต้น เมื่อหมดฤทธิ์ยาแล้ว ก็จะมีอาการเป็นใหม่อีก จนกลายเป็นโรคประจำตัว

 

  • การหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ (Allergen avoidance) เป็นวิธีที่ดีที่สุด มีโอกาสทำให้โรคภูมิแพ้สงบลงโดยไม่ต้องใช้ยา อาจนับว่าหายขาดได้ด้วย โดยจะหลีกเลี่ยงเพียงเฉพาะตัวที่เราแพ้เมื่อทราบผลจากการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ทุกตัว เพราะส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยภูมิแพ้จะมีสิ่งที่แพ้เพียง 1-5 ชนิด ทำให้การหลีกเลี่ยงประสบความสำเร็จ คนไทยส่วนใหญ่มักจะแพ้ไรฝุ่น (House dust mite) มากถึง 70% ซึ่งไรฝุ่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้  ไม่ใช่แพ้ฝุ่นซึ่งหลีกเลี่ยงได้ยากกว่า จึงทำให้คนไข้ภูมิแพ้ของไทย ส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงสำเร็จ และหายป่วยเป็นจำนวนมาก

 

  • การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (Allergic vaccine / Immunotherapy) สามารถทำให้หายได้เช่นกัน แต่ต้องใช้เวลานาน 3-5 ปี โดยการฉีดหรือการอมใต้ลิ้น ซึ่งจะมีภาระค่าใช้จ่ายสูง และสิ้นเปลืองเวลา

 

ดังนั้นผู้เขียนจึงมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ตามที่ทดสอบทราบด้วยการสะกิดผิวหนัง ก็มักจะสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ มีส่วนน้อยมากที่จำเป็นจะต้องมาฉีดวัคซีนภูมิแพ้

 

สรุป

 

  • ภูมิแพ้เกิดจากภูมิต้านทานขยันทำงานมากเกินไป
  • มีอาการหรืออาการแสดงแตกต่างกันออกไปได้ถึง 5 อวัยวะ แต่ถือว่าเป็นโรคเดียวกัน
  • การวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด นอกจากการซักประวัติตรวจร่างกายแล้ว ก็คือการทดสอบภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง ซึ่งดีกว่าและแม่นยำกว่าการเจาะเลือด
  • การรักษาที่ดีที่สุดและทำให้หายได้คือ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้เฉพาะตัวที่ทดสอบทราบว่าแพ้เท่านั้น ซึ่งมีผู้ป่วยหายเป็นจำนวนมาก โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยาหรือฉีดวัคซีนภูมิแพ้