โอกาสเฟด Tapering ปีนี้ “ทองคำ” จะเป็นอย่างไร?

12 กันยายน 2564

โอกาสเฟด Tapering ปีนี้ “ทองคำ” จะเป็นอย่างไร? : คอลัมน์ ครบเครื่องเรื่องทอง MTS Gold แม่ทองสุกชี้ Tapering QE คงเกิดขึ้นแน่ เตือนนักลงทุนเตรียมพร้อมหรือเตรียมการที่จะเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า

ในสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯและยุโรปในช่วงไตรมาสที่ 3 และของปี 2021 เราพบว่า แม้จะมีการติดเชื้อ Covid-19 อย่างต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจของทั้งสองทวีปก็ยังเห็นถึงการเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยที่จีดีพีสหรัฐฯน่าจะขยายตัวได้ปีนี้ 6% ทางด้านจีดีพียูโรโซนคาดจะขยายตัวได้ราว 5-6%

 

ดังนั้น สิ่งที่ตลาดคาดหวังคือการทำ Tapering QE หรือการที่จะมีการลดวงเงินเข้าซื้อพันบัตร หรือลดวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรที่อัดฉีดเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจทั้งทางฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าเริ่มเห็นผลที่ดี ซึ่งการจะเห็นการลดวงเงินให้สู่ภาวะปกติจะต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

สิ่งที่เราเห็นจากปี 2011 – 2015 จะเป็นการทำ Tapering QE ที่เกิดวิกฤตในช่วงดังกล่าว และจเห็นได้ว่ากระทบทั้งตลาดทองคำ, หุ้น และตลาดการเงินอย่างมาก ทำให้หลายๆฝ่ายเริ่มกังวลว่า ถ้ามีเรื่องของ QE จะมีผลอย่างไรต่อราคาทองคำ

 

สำหรับ Tapering QE คงเกิดขึ้นแน่ หลังจากฟังมุมมองสมาชิกเฟด และการประชุมยูโรโซนล่าสุด จึงทำให้นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมหรือเตรียมการที่จะเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า และโดยส่วนใหญ่คาด Tapering QE น่าจะเกิดขึ้นช่วง พ.ย. หรือ ธ.ค.

 

จากอดีตที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่า พอมีการทำ Tapering QE น่าจะเห็นเม็ดเงินในระบบเกิดสภาวะตึงตัวมากขึ้น โดยขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้นๆ ว่าจะสามารถพยุงให้กลับสู่สภาวะเดิมได้หรือไม่  ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือ “ดอลลาร์” จะแข็งค่าขึ้น ช่วงการประกาศทำ Tapering QE และอาจเห็นทองคำปรับตัวลดลง

จากอดีตจะเห็นได้ว่า การทำ Tapering QE ที่มากกว่า 3 ปี เป็นปัจจัยกดดันให้ทองคำปรับตัวลดลงเป็นเวลานาน 2 – 3 ปี เช่นกัน โดยราคาทองคำช่วงปี 2011 ทำสูงสุดที่ 1,920 เหรียญ และราคาก็ปรับตัวลดลงมา เป็นลักษณะปรับฐานลงมาประมาณ 2-3 ปี ขณะที่การเคลื่อนไหวของราคาในรอบนี้จะปรับตกลงมาเหมือนรอบที่แล้วหรือไม่

 

ความเห็นส่วนตัวของนพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท MTS GOLD วิเคราะห์ว่า  จะเห็นราคาฐานของทองคำขยับยกตัวสูงขึ้น เนื่องด้วยสภาวะเงินเฟ้อที่เข้ามาปกคลุมตลาดอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นทองคำจึงไม่น่าจะเห็นทองคำร่วงลงต่ำกว่าระดับเดิม และน่าจะเห็นแนวรับขยับสูงขึ้นกว่า 1,200 เหรียญ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกชนิดก็มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

จึงวิเคราะห์ได้ว่า การปรับตัวลดลงของทองคำจะมีอย่างจำกัด และทองคำน่าจะปรับลงและมีแนวรับสำคัญที่ 1,500 เหรียญ หมายความว่า ราคาที่จะหลุดระดับ 1,500 เหรียญ น่าจะมีไม่มากนัก และอาจจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนต้องเตรียมความเข้าใจ, ความพร้อม และการปรับพอร์ตให้สมดุล รวมถึงการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจตลอดช่วง 3 เดือนข้างหน้า

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีหน้า การที่เศรษฐกิจของฝั่งสหรัฐฯและยุโรปจะฟื้นได้รวดเร็วเพียงใด คงต้องขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัยแวดล้อม เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับปีนี้ที่เศรษฐกิจเริ่มพลิกฟื้น และมีการเปรียบเทียบปีต่อปี น่าจะเห็นภาพรวมที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้นว่า ภาวะเศรษฐกิจของโลกจะดำเนินไปอย่างไร การลงทุนในทองคำยังถือว่า มีความปลอดภัยและมีความน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา

 

เพียงแต่สิ่งที่นักลงทุนจะต้องติดตาม ก็มีเรื่องของภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลกระทบที่อาจจะมีขึ้นต่อ “สงครามการค้า” ในปีหน้าที่อาจจะมีมากขึ้น รวมถึงเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นจากทั้ง 2 ฝ่ายที่พยายามแย่งชิงกลุ่มผู้ซื้อในตลาดโลกได้อย่างชัดเจนขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าใครจะเป็นผู้ช่วงชิงตลาดได้มากกว่ากัน โดยเฉพาะสหรัฐฯและจีน ที่เคยเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาได้เช่นกัน

 

ในโลกยุคปัจจุบันหลัง Covid-19 ในปี 2565 ก็คงยังมีความผันผวนไม่แน่นอน และมีตัวแปรที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ การวิเคราะห์เจาะลึกจึงจำเป็นที่จะต้องติดตามใกล้ชิด และไม่มองอะไรที่ไกลจากความเป็นจริงมากนัก หรือไม่วิเคราะห์ไปไกลมากกว่า 6 เดือน เพราะโอกาสที่จะผิดนั้นมีสูงมาก

 

MTS GOLD แม่ทองสุก จึงสรุปการวิเคราะห์ว่า ทองคำในช่วงต่อจากนี้จนถึงปลายปี น่าจะมีแนวต้านสำคัญที่น่าจะผ่านได้ยากบริเวณ 1,850 เหรียญ และแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,750 เหรียญ โดยหากหลุดระดับดังกล่าวลงมา น่าจะมีโอกาสลงได้ลึกและยาว หลังจากที่มีมาตรการทำ Tapering QE นั่นเอง

 

สำหรับราคาทองคำของไทยน่าจะมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 28,500 บาท/บาททองคำ ขณะที่แนวรับจะอยู่บริเวณ 27,000 บาท/บาททองคำเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ทองคำไทยอาจปรับลงไม่มากนัก จากสภาวะเงินบาทที่อ่อนค่าตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ที่ถึงแม้จะมีสภาวะผู้ส่งออกได้ดี แต่เครื่องยนต์ภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวยังไม่สามารถเดินเครื่องได้เลย

 

จึงยังวิเคราะห์ว่า เงินบาทจะมีโอกาสแข็งค่าได้น้อย หรือไม่น่าจะต่ำกว่า 32.00 บาท/ดอลลาร์ลงมาได้ กลับกัน โอกาสที่จะเห็นเงินบาทปรับตัวสูงขึ้นจากการอ่อนค่า น่าจะมีโอกาสเห็นได้มากกว่า ที่น่าจะยืนเหนือ 33.00 บาท/ดอลลาร์นั่นเอง ซึ่งจะเป็นตัวเกื้อหนุนให้ราคาทองคำไทยปรับตัวลดลงได้ไม่ลึกนัก และมีโอกาสจะเห็นราคาทองคำไทยไปถึง 30,000 บาท/บาททองคำ แต่น่าจะเป็นระยะยาวช่วง 1 ปี