อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทปิดตลาด “แข็งค่า”ที่ระดับ 32.66 บาท/ดอลลาร์

10 ก.ย. 2564 | 12:08 น.

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท “แข็งค่า”ขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากมีรายงานระบุว่า ปธน.โจ ไบเดนสหรัฐได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับปธน.สี จิ้นผิง ทำให้ตลาดบางส่วนตีความสัมพันธ์เป็นสัญญาณที่ดีของ 2ประเทศ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 32.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ "แข็งค่า"ขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ -กรอบการเคลื่อนไหวในสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 13-17 กันยายน 2564 คาดไว้ที่ 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางของค่าเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย หลังจากที่มีรายงานข่าวที่ระบุว่า ปธน. โจ ไบเดนของสหรัฐฯ ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับปธน. สี จิ้นผิงของจีน ซึ่งทำให้ตลาดบางส่วนตีความว่า อาจเป็นสัญญาณที่สะท้อนความสัมพันธ์ที่ดีของทั้ง 2 ประเทศ  ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงกดดันจากการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวของสหรัฐฯ และการส่งสัญญาณปรับระดับการซื้อสินทรัพย์ผ่านโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) 

 

สำหรับสถานะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 716.27 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 1,996  ล้านบาท 

 

ส่วนค่าเฉลี่ย Indicative forward points ของธุรกรรมระยะ 3 เดือนจากข้อมูลของธนาคาร 10 แห่งสำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ 50-200 ล้านบาทต่อปี รายงานข้อมูล ณ 10.00 น. วันที่ 10 กันยายน 2564 โดยธปท. อยู่ที่ 0.10 สำหรับผู้ส่งออก (ขายเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า) และที่ 3.26 สำหรับผู้นำเข้า (ซื้อเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า)

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 13-17 กันยายน 2564 คาดไว้ที่ 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ กระแสเงินลงทุนต่างชาติ และสถานการณ์โควิดของไทย

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคานำเข้า/ส่งออก ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีกเดือนส.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนก.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

 

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนีราคาบ้าน อัตราการว่างงาน ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนส.ค. ของจีน ด้วยเช่นกัน