“พรรคพลังธรรมใหม่” แสดงจุดยืน คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 3

08 ก.ย. 2564 | 04:07 น.

นพ.ระวี เผย“พรรคพลังธรรมใหม่”แสดงจุดยืน คว่ำร่าง รธน.วาระ 3 ชี้ครั้งนี้แก้เพื่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่ จะเกิดเผด็จการรัฐสภา

วันที่ 8 ก.ย. 2564  นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงการลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม วาระ 3 วันที่ 10 ก.ย. ว่า พรรคพลังธรรมใหม่ตัดสินใจจะคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ขอกลับไปใช้รัฐธรรมนูญเดิมก่อน เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เป็นการแก้เพื่อนักการเมือง แก้เพื่อพรรคการเมืองใหญ่ๆ และเพื่อนายทุนพรรคการเมือง เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คือพรรคการเมืองใหญ่ๆ แต่พรรคเล็กมีแนวโน้มที่จะสูญพันธุ์ทั้งประเทศ ส่วนพรรคขนาดกลางก็จะถูกแช่แข็งลดขนาดลง และที่สำคัญรัฐธรรมนูญปี 60 ผ่านประชามติจากประชาชนในการยอมรับ

               

หัวใจที่สำคัญของรัฐธรรมนูญปี 60 มีหลักๆอยู่ 3-4 ข้อ คือ ระบบจัดสรรปันส่วนผสม ระบบนี้กำหนดให้ประชาชนทุกกลุ่มในประเทศไทยควรจะมีตัวแทนของเขานั่งอยู่ในสภาเป็น ส.ส.เพื่อที่จะสะท้อนความคิด สะท้อนปัญหา แสดงการแก้ปัญหา อย่างประเทศจีนที่ตอนนี้เป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก เขามีตัวแทนจากทุกชนเผ่าทุกชนชั้น นั่งอยู่ในสภา โดยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสะท้อนปัญหา แต่ระบบการแก้ไขที่เป็น 2 บัตรครั้งนี้ เป็นการล้มระบบจัดสรรปันส่วนผสม ข้อที่ 2 คือเป็นการล้มระบบ ส.ส.พึ่งมี เพราะการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบจะตัดระบบนี้ทิ้ง เพราะฉะนั้นพรรคใหญ่ ๆ ที่มีทุนมหาศาล ก็จะทุ่มซื้อ ส.ส.เขต เพื่อที่จะได้  ส.ส.เขตเยอะ มากกว่า ส.ส.พึงมี กว่าคะแนนพรรคที่เขาจะได้ นี่คือความเป็นจริงที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

“พรรคพลังธรรมใหม่” แสดงจุดยืน คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 3  

 “ประเด็นที่สำคัญ คือการเลือกตั้งแบบนี้จะล้มล้างคะแนนเสียงที่ไม่ตกน้ำ จะเห็นว่าถ้าเขาแก้ไขไป คะแนนใบแรกคือ ใบเลือกเขต สมมุติว่ามีพรรคหนึ่งชนะเป็นที่หนึ่ง ได้คะแนน 45,000 คนนั้นก็ได้เป็น ส.ส.แต่ลำดับที่ 2 เป็นต้นไป คะแนนที่ได้ก็หายไปตกน้ำไปเลย แต่ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญปี 60 เสียงจะไม่ตกน้ำ เพราะเสียงของทุกเขตจะนำมารวมกันหมด และนำมาคิดจำนวน ส.ส.พึงมี ข้อดีพวกนี้กำลังจะหายไป”นพ.ระวี กล่าว

                 

นพ.ระวี ยังกล่าวต่อว่า ระบบการเลือกตั้งแบบ 2 ใบ ประเทศไทยได้มีการใช้มาแล้วใน 2 รัฐธรรมนูญ คือปี 40 และ 50 ในรัฐธรรมนูญปี 40 ได้ใช้กติกานี้เลือกตั้งมา 2 ครั้ง ผลคือคุณทักษิณได้เป็นนายกและได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง ผลที่ตามมาคือเกิดเผด็จการรัฐสภา พอถึงรัฐธรรมนูญปี 50 ก็เลือกตั้งอีก 2 ครั้ง ครั้งแรกคุณสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกฯ ครั้งที่ 2 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกฯ และก็เกิดปัญหาเหมือนเดิมก็คือเผด็จการรัฐสภา ทักษิณคิดสมัครทำ ทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำ นอกจากนี้ยังเกิดปรากฏการคอรัปชั่นเชิงนโยบายซึ่งเป็นการคอรัปชั่นที่โจ่งแจ้งชัดเจนเห็นชัดเจนและเป็นจำนวนเงินมหาศาล

    “ในส่วนของพรรคพลังธรรมใหม่เราพร้อมที่จะลงแข่งรับเลือกตั้งทั้ง 2 กติกา ไม่ว่าจะเป็นแบบหนึ่งใบหรือสองใบเราก็สู้ได้ แต่สิ่งที่ผมเลือก คือผมเลือกตามประชาชน นั่นก็คือผมต้องการจะคว่ำวาระสาม ในวันที่ 10 ก.ย.นี้ หลังจากนั้นถ้าจะแก้ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อน ถ้าประชาชนบอกว่าเอา 2 ใบ ผมก็พร้อมเอา 2 ใบ ถ้าประชาชนส่วนมากเลือกใบเดียว พลังธรรมใหม่ก็พร้อมจะสู้แบบใบเดียว ที่สำคัญต้องถามประชาชนว่าต้องการจะแก้หรือไม่แก้ และถ้าแก้จะแก้ในประเด็นไหน    

 

สุดท้ายเมื่อประชาชนตัดสินใจแล้วรัฐสภาค่อยทำตามมติของประชาชน”นพ.ระวี กล่าว