"ไพบูลย์"มั่นใจ แก้รธน. เสร็จสมัยประชุมนี้ เย้ยม็อบจิ๊บจ้อย

04 ส.ค. 2564 | 06:06 น.

"ไพบูลย์" มั่นใจรัฐบาลอยู่ครบเทอม ยันแก้ไขรัฐธรรมนูญฉลุยเสร็จสมัยประชุมนี้ เมิน"ม็อบจิ๊บจ้อย"กดดันไร้ผล

วันที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) แก้ไขมาตรา 83 และมาตรา 91 ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ยังมีข้อถกเถียงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกว่า การประชุมวันนี้จะมีการเสนอที่ประชุมตามข้อบังคับรัฐสภาข้อที่ 124 ซึ่งมีความชัดเจนอยู่แล้วว่า การที่จะขอแปรญัตติมาในเรื่องที่เป็นไปตามหลักการสามารถทำได้ โดยเฉพาะเรื่องแบ่งเขตการเลือกตั้งและการใช้บัตรสองใบรวมถึงยังมีเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งตามหลักการสามารถทำได้เพราะข้อบังคับรัฐสภาข้อที่ 124 มีความชัดเจนอยู่แล้วและเมื่อมีผู้แปรญัตติมาก็ถือเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละคน 

 

ในส่วนของ กมธ.ก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือ นำคำแปรญัตติไปพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในคำแปรญัตติเหล่านั้น ส่วนการพิจารณาข้อบังคับที่มีฝ่ายโต้แย้งหากมีปัญหาที่ต้องตีความก็ต้องเป็นไปตามข้อบังคับข้อที่ 151 ที่เป็นอำนาจของรัฐสภาไม่ใช่เป็นอำนาจของ กมธ. โดยสมาชิที่มีความสงสัยจะต้องเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 40 คนจากนั้นก็ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาเพื่อพิจารณาในที่ประชุม หากเสียงที่ประชุมเกินกึ่งหนึ่งของเท่าที่มีที่มีผู้ไม่เห็นด้วยและเห็นด้วยที่สุดแล้วแต่ตีความก็ถือว่าจะเป็นไปตามนั้น แต่ในชั้นกมธ.จะมาตีความข้อบังคับเองนั้นทำไม่ได้ เพราะจะถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจของรัฐสภาและเราจะไปตัดสิทธิ์ของผู้แปรญัตติโดยพลการไม่ได้

 

 ส่วนคำขอแปรญัตติที่มีกว่า 40 ฉบับนั้นก็ต้องมอบหมายให้มีคณะอนุ กมธ. หรือคณะทำงานก็สุดแล้วแต่ ซึ่งจะต้องไปรวบรวมแล้วพิจารณาแล้วเสนอมา ถือเป็นเรื่องที่ทำกันมาปกติ ทั้งนี้ตนมองว่า การตั้งอนุ กมธ.ถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและวุ่นวาย เพราะการประชุมต้องมีเบี้ยประชุม ทั้งที่ทุกคนมีจิตเสียสละในการทำงานอยู่แล้ว เชื่อว่า หากตั้งเป็นคณะทำงานก็สามารถดำเนินการได้รวมทั้งตอนนี้มีสถานการณ์โควิด แต่เราก็ตระหนักกันดีว่ามาตรการที่ให้ทำงานที่บ้านหรืองานออนไลน์ต่างๆ แต่เรื่องการพิจารณากฎหมายไม่สามารถทำได้ ซึ่งการประชุมครั้งนี้ตนก็ไม่อยากประชุมแต่ว่า มีความจำเป็น และทุกคนก็ได้รับการฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้วโดยมีการป้องกันกันอย่างเต็มที่ และเราตระหนักในหน้าที่การเป็นสมาชิกรัฐสภา
 

 เมื่อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ปมปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นเหตุทำให้การแก้รับเลือกตั้งสูญเปล่าใช่หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ตนมั่นใจว่า ไม่มีปัญหาซึ่งการแก้ไขครั้งนี้เป็นการแก้ไขรายมาตรา ไม่ได้มีปัญหาและไม่ได้เป็นการแก้ประเด็นที่ไปเกี่ยวเนื่องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ดังนั้นก็ไม่ต้องไปทำประชามติ เชื่อว่า ปัญหาน้อยและมีประเด็นเดียวที่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง ซึ่งเราพยายามกระชับเวลา แต่ไม่ใช่เป็นการรวบรัดและไม่ใช่ว่า จะให้ใครไปเตะถ่วงหรือยืดเยื้อ ใช้เกณฑ์การเมืองต่างๆ ซึ่งกมธ.จะดำเนินการตามข้อบังคับที่เขียนไว้ว่า ต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล

 

เมื่อถามว่า ตามไทม์ไลน์แล้วในวาระ 3 จะเสร็จทันสมัยประชุมนี้หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตนคิดว่า ทันในวาระ 3 คือก่อนวันที่ 18 ก.ย.นี้ จะพิจารณาเสร็จในวาระ 3 จากนั้นสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ และเชื่อว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะมีประเด็นไปส่งศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะเป็นเรื่องที่เสนอในการประชุมสภาเพื่อตีความในข้อบังคับเท่านั้น เว้นแต่ฝ่ายที่ไม่อยากให้แก้ระบบเลือกตั้งและเสียผลประโยชน์ก็จะพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง ถามว่า คิดว่าคนอื่นไม่รู้หรือ ว่าตัวเองจะพยายามขัดขวางอย่างไร ยืนยันว่า เรื่องนี้ขัดขวางไม่ได้ เพราะเราตามรัฐธรรมนูญ ส่วนจะเป็นใครที่ขัดขวางขอให้ไปดูกันในสภาฯ ตนเป็นประชาธิปไตยจริงๆ แต่บางคนที่อ้างว่า เป็นประชาธิปไตย ถามว่า เป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ เราไม่ใช่เสียงข้างมากลากไป เพราะพูดกันด้วยเหตุผลและทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ทั้งนี้หากพิจารณาผ่านวาระ 3 แล้วก็จะมีการยื่นแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเลือกตั้งและพ.ร.บ.พรรคการเมือง ซึ่งจะอยู่ในช่วงปลายเดือนกันยายน จากนั้นต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 เพื่อรับฟังความคิดเห็นและคาดว่า จะบรรจุเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภาได้ในสมัยประชุมต่อไป คือ ประมาณเดือนพ.ย.หรือธ.ค.

"ไพบูลย์"มั่นใจ แก้รธน. เสร็จสมัยประชุมนี้ เย้ยม็อบจิ๊บจ้อย

เมื่อถามว่า มีการคาดว่า เมื่อกฎหมายลูกเสร็จสิ้นจะมีโอกาสในการยุบสภาหรือนายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง นายไพบูลย์ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่อง เพราะการยุบสภาอยู่อีกสถานการณ์หนึ่งและอีกเหตุผลหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้มีเขียนไว้ว่า จะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญ

 

เมื่อถามย้ำว่า แต่มีการมองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในเร็ววันนี้คือปี 2566  ที่รัฐบาลจะครบวาระ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่ให้ครบวาระ ส่วนการเรียกร้องต่างๆ ก็เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่อยากให้พวกตนเองได้เป็นรัฐบาล ถามว่า คนที่มาเรียกร้องนั้นมีกี่คน ทำไมไม่เคารพเสียงของคนหลายสิบล้านคน ดังนั้นขอให้รอการเลือกตั้งเพื่อมาพิสูจน์กัน ทำไมเสียงของคนนั้นคนนี้จะต้องมีความสำคัญมากกว่าเสียงของประชาชนทั่วไปเสมอ เพราะต่างคนต่างก็มีเสียงเท่ากัน ใครจะเสียงใหญ่กว่ากันไม่ได้ และยิ่งบางคนไปแอบอ้างเป็นเพื่อนลูกสาวนายกฯ ใช้อภิสิทธิ์เรียกร้องต่างๆ เพื่อให้เสียงดังกว่าชาวบ้านและประชาชนคนอื่น บุคคลเหล่านั้น ถือเป็นอภิสิทธิ์ชนไม่ใช่นักประชาธิปไตยที่จะต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมกันและมีเสียงเท่ากันคือ 1 เสียงรวมถึงเคารพเสียงของคนอื่นด้วย

 

เมื่อถามว่า มีการมองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะราบรื่น หากผู้มีอำนาจเอาด้วยเพื่อเตรียมปูทางสู่อำนาจใหม่ในอนาคต นายไพบูลย์ กล่าวว่า ถ้าผู้มีอำนาจหมายถึงสมาชิกรัฐสภาก็ถือว่า ใช่เพราะมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ถ้าสมาชิกรัฐสภาเห็นด้วยการแก้ไขก็ผ่านและบังคับใช้ต่อไป ถามต่อว่า แต่ถ้าผู้มีอำนาจหมายถึง คสช.หรือฝ่ายบริหาร นายไพบูลย์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจเขาไว้ เพราะอำนาจเป็นของสมาชิกรัฐสภาที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น

 

เมื่อถามว่า การออกมาชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ในตอนนี้เป็นจำนวนมาก รัฐบาลจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ได้มีการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า คนออกมาชุมนุมแล้วเราจะต้องทำตาม ซึ่งมันไม่มีผลอะไร แต่คนที่ออกมาชุมนุมต่างหากควรจะตระหนักไม่ทำผิดกฎหมาย

 

“เท่าที่ผมผ่านการชุมนุมมามาก ไม่เคยเห็นการชุมนุมอะไรที่กระจิ๊บกระจ้อยขนาดนี้ ซึ่งผมก็เคารพสิทธิ์ทุกสิทธิ์ แต่หากจะมีการพูดอะไรก็ต้องเคารพสิทธิ์ของผมด้วย เพราะหนึ่งเสียงของผมคือไม่เห็นด้วยกับเขา เพราะทุกคนมีเสียงเท่ากัน เราเป็นประชาชนคนไทยต่างคนต่างมีหนึ่งเสียงเท่ากัน ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร” นายไพบูลย์ กล่าว