ถึงเวลา สปอร์ตคาร์ไร้เครื่องยนต์ เบนซ์ ซื้อเทคโนโลยีมอเตอร์ไฟฟ้า EV ใส่ AMG

29 ก.ค. 2564 | 02:33 น.

นับถอยหลัง เข้าสู่ยุค สปอร์ตคาร์ ไร้เครื่องยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่ง EV ฮุบสตาร์ทอัพอังกฤษ YASA ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงออกมารองรับ Mercedes AMG ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ขณะที่ปอร์เช่ ตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับ Rimacโครเอเชีย ผลิตไฮเปอร์คาร์ EV

เริ่มเข้าใกล้ความจริงกับสปอร์ตคาร์ หรือรถยนต์สมรรถนะสูง จะเลิกทำตลาดรุ่นเครื่องยนต์แรงๆ บล็อก 6 สูบ หรือ วี8 พร้อมรีดกำลังด้วยเทอร์โบ-เทอร์โบคู่ โดยหลายค่ายรถยนต์ส่งสัญญาณชัดเจนว่า รถยนต์สูบนํ้ามันเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า เป็น สปอร์ตคาร์ EV 

 

จากข่าวใหญ่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ประกาศยุทธศาสตร์รถพลังงานไฟฟ้า 100% EV ใหม่ โดยยืนยันว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้(ปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573) เบนซ์จะเลิกผลิตรถใช้น้ำมัน หรือเบนซ์จะเลิกผลิตรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ICE นั่นหมายถึง เบนซ์ขยับแผน EV 100% มาเร็วขึ้น 9 ปี ภายใต้เงินลงทุนรวมในการพัฒนาโครงการกว่า 1.56 ล้านล้านบาท

 

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดเผยว่า ภายในปี 2565 จะมี EV แทรกอยู่ในทุกโมเดลหลัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ เอสยูวี และรถตู้ และปี 2568 พร้อมเลิกพัฒนารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่สำหรับ EV แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ MB.EA สำหรับรถขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มรถบ้านทั่วไป  VAN.EA สำหรับรถตู้ แต่ที่น่าสนใจคือการมีแพลตฟอร์ม EV โดยเฉพาะสำหรับตัวแรง Mercedes AMG ที่เรียกว่า AMG.EA

แผนธุรกิจ EV ของเมอร์เซเดส-เบนซ์

ปัจจุบัน Mercedes AMG ในรุ่นท็อปๆ อย่าง GT C ,GT R และกลุ่มรหัส 63 ใช้เครื่องยนต์วี8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ (ส่งให้ แอสตัน-มาร์ติน ด้วย) แต่จากยุทธศาสตร์ใหม่ที่บริษัทแม่ประกาศออกมา นั่นเท่ากับว่าเครื่องยนต์บล็อกมหาเทพนี้ก็เตรียมตัวนับถอยหลังออกจากตลาดเช่นกัน

 

อนาคตของ Mercedes AMG จะเป็นรุ่นขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า EV แน่นอน เพราะเมอร์เซเดส-เบนซ์ วางแผนด้านเทคโนโลยีเอาไว้เรียบร้อย ด้วยการที่ เบนซ์เข้าไปซื้อกิจการของสตาร์ทอัพ YASA บริษัทผู้พัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงในสหราชอาณาจักร

 

โดยมอเตอร์ไฟฟ้าของ YASA ใช้นวัตกรรมใหม่ “มอเตอร์ฟลักซ์แนวแกน” (axial-flux) ที่ให้พละกำลังสูง มีประสิทธิผลต่อนํ้าหนักดีกว่ามอเตอร์เดิมๆ ซึ่งการเข้าไปถือหุ้น 100% ใน YASA จะช่วยให้เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงเจเนอเรชันต่อไป

 

นายโอลา คัลเลเนียส ประธานบริหาร เดมเลอร์ เอจี และเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงในเรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเซกเมนต์รถยนต์ระดับลักชัวรี ที่มีเมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นผู้นำ จุดเปลี่ยนกำลังใกล้เข้ามาและเรามีความพร้อมที่จะตอบรับความเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยการมุ่งสู่การผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเท่านั้นภายในสิ้นทศวรรษนี้

 

“สถานการณ์สำหรับการขายรถยนต์ใหม่จะปรับเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ภายในสิ้นทศวรรษนี้ สิ่งที่สำคัญคือการเพิ่มรายได้สุทธิต่อหน่วยโดยการเพิ่มสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ เช่น Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG ในขณะเดียวกันกับที่เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถควบคุมราคาและการขายได้โดยตรงมากขึ้น ด้วยแพลตฟอร์มแบตเตอรี่ทั่วไปและโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับขนาดได้ รวมทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ จะช่วยให้เกิดมาตรฐานที่สูงขึ้นในต้นทุนที่ตํ่าลง” นายคัลเลเนียส กล่าว

 

นั่นเป็นความชัดเจนตามโครงสร้างธุรกิจรถพลังงานไฟฟ้า 100% EV  ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในซับแบรนด์อย่าง Mercedes-AMG หากยึดตามแผนนี้ ภายในระยะเวลาอันใกล้จะไม่มีรุ่นเครื่องยนต์ ICE ทำตลาด

โอลา คัลเลเนียส กับแผนธุรกิจ EV ของเมอร์เซเดส-เบนซ์

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ที่แสดงความชัดเจนถึงกำหนดการมาของ EV เร็วขึ้นแต่ยังไม่มีใครกล้ายืนยันว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์คันสุดท้ายจะหยุดการผลิตเมื่อไหร่ โดยเงื่อนไขการทำตลาดรถ ICE จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในประเทศนั้นๆ

อีกหนึ่งค่ายเยอรมนี “ปอร์เช่” ในเครือโฟล์คสวาเกนที่ขยับแผน EV อย่างรวดเร็ว และเพิ่งเปิดเผยผลผลิตจากการตั้งบริษัทใหม่ Bugatti Rimac โดย ปอร์เช่ ถือหุ้น 45% และ Rimac 55% นั่นคือ ไฮเปอร์คาร์ Bugatti Chiron (ส่วน Rimac รุ่น Nevera)

 

นายโอลิเวอร์ บลูม ประธานกรรมการบริหาร ปอร์เช่เอจี เปิดเผยว่า เราได้นำประสบการณ์อันแข็งแกร่งของ Bugatti ในธุรกิจไฮเปอร์คาร์กับนวัตกรรมของ Rimac รวมไว้ด้วยกัน เพื่อจุดประสงค์ในการพัฒนายานพาหนะพลังงานไฟฟ้า

ถึงเวลา สปอร์ตคาร์ไร้เครื่องยนต์ เบนซ์ ซื้อเทคโนโลยีมอเตอร์ไฟฟ้า EV ใส่ AMG

ล่าสุด ปอร์เช่ เอจี เปิดเผยยอดขายครึ่งปีแรก 2564 รวมทั่วโลกทำได้ 153,656 คัน เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ในจำนวนนี้แบ่งเป็น ปอร์เช่ คาเยนน์ 44,050 คัน ปอร์เช่ มาคันน์ 43,618 คัน ปอร์เช่ 911 จำนวน 20,611 คัน

 

ที่น่าสนใจคือ EV ปอร์เช่ไทคานน์ ทำยอดขายมาเป็นอันดับ 4 ด้วยจำนวน 19,822 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับยอดขายในปี 2563 ทั้งปี ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ผู้ซื้อไทคานน์ 70% เป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีปอร์เช่มาก่อน