ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา KIA Carnival ขายได้ด้วยการเป็นรถอเนกประสงค์ เครื่องยนต์ดีเซล โดยเฉพาะรุ่น 11 ที่นั่ง (จดทะเบียน รย.2 ป้ายฟ้า) ไม่เสียภาษีสรรพสามิต ยิ่งทำราคาได้น่าสนใจ หรือมีเงินไม่ถึง 2 ล้านบาท ก็เป็นเจ้าของได้
ล่าสุด บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว KIA Carnival Minorchange เอ็มพีวี 7 ที่นั่ง นำเข้าจากมาเลเซีย และเป็นครั้งแรกที่มากับขุมพลังไฮบริด
KIA Carnival HEV เจเนอเรชันที่ 4 ไมเนอร์เชนจ์ 7 ที่นั่ง แม้สั่งมาจากโรงงานมาเลเซีย ไม่โดนภาษีนำเข้า แต่ก็ต้องเสียภาษีสรรพสามิตตามรถขุมพลังไฮบริดที่ 16% โดยแบ่งการขายเป็น 2 รุ่นย่อยคือ Premium ราคา 2.499 ล้านบาท และ Luxury 2.699 ล้านบาท (ถ้ารุ่น 7 ที่นั่ง หน้าเดิม เครื่องยนต์ดีเซล เสียภาษีสรรพสามิต 30% รุ่น SXL Luxury ราคา 2.599 ล้านบาท)
โดยฟังก์ชันที่ทำให้ราคาถูกแพงกว่ากัน 2 แสนบาท สำหรับตัวท็อปจะได้ เบาะนั่งหุ้มหนังสีทูโทน ดำ-น้ำตาล พร้อมระบบระบายอากาศ ระบบอุ่น ขณะที่เบาะ Relaxation แถวสอง ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า หลังคาซันรูฟ 2 ตำแหน่งหน้า-หลัง ระบบไฟสีสันภายในห้องโดยสาร(Ambient Light) เครื่องเสียง BOSE ลำโพง 12 ตัว กระจกมองหลังแบบจอแสดงภาพ และชุดไฟหน้าควบคุมลำแสงด้วยโปรเจกเตอร์ เลนส์ เป็นต้น
ด้านระบบฟูลไฮบริดแบบพาราเรล ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังรวมสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 367 นิวตันเมตร สนับสนุนด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 1.49 kWh
ระบบไฮบริดชุดนี้ ก็ยกชุดกันมาจากฮุนได ที่ใช้กับเอสยูวี Santafe แต่มาปรับจูนให้ต่างกันตามคุณลักษณะของรถ ซึ่งคู่แข่งตรงๆ เต็มๆ กับ KIA Carnival HEV น่าจะเป็น Hyundai Palisade HEV ที่โฉมใหม่เริ่มทยอยเปิดตัวในต่างประเทศแล้ว ส่วนเมืองไทยเตรียมนำเข้ามาทำตลาดเช่นกัน (อาจจะเป็นต้นปี 2569)
ผมมีโอกาสได้ลองสมรรถนะ KIA Carnival HEV ที่อัตราเร่งมาแบบเนียนๆ มอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์ช่วยกันทำงานขมีขมัน เชื่อมต่อพละกำลังกันได้ไหลลื่น พร้อมนำพารถยาวขนาด 5.15 เมตร น้ำหนักกว่า 2 ตัน ไปได้สบายๆ
ขับแล้วอาจจะรู้สึกสดชื่นตื่นพลัง กว่ารุ่นดีเซลอยู่เล็กน้อย แต่กระนั้นการตอบสนองรวมๆ ไม่ต่างกันมากแบบราวฟ้ากับเหวขนาดนั้นครับ เพราะตัวดีเซล แรงบิดก็สูงเอาเรื่อง 440 นิวตันเมตร ช่วงออกตัวไม่อืด หรือความเร็วปลายยังไหลได้ยาวๆ
สำหรับอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. Carnival HEV ทำได้ 9.3 วินาที และรุ่นดีเซล 2.2 เทอร์โบ ช้ากว่าอยู่ที่ 10.8 วินาที
ตัวรถมี 3 โหมดการขับขี่ หากต้องการขยับความแรง เลือกไปที่โหมด Sport และใช้แป้นแพดเดิลชิฟต์หลังพวงมาลัยเปลี่ยนเกียร์เองได้ แต่ถ้าเลือกโหมด Eco หรือ Smart การทำงานของแป้นหรรษานี้จะเปลี่ยนหน้าที่เป็นการเลือกระดับการหน่วงดึงของระบบ Regenerative Braking (เลือกได้ 3 ระดับ)
ส่วนโหมด EV ไม่มีปุ่มให้กดเลือก แต่โดยหลักการทำงานสามารถวิ่งโดยเครื่องยนต์ไม่ติดขึ้นมาเลย และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ได้ เพียงแต่ต้องไม่แตะคันเร่งหนักหน่วงแบบฉับพลัน ยิ่งพลังงานในแบตเตอรี่มีเต็มๆ เท้าสัมผัสคันเร่งเบาๆ นิ่งๆ มีโอกาสวิ่งในโหมด EV ได้ระยะทาง 2-3 กิโลเมตร เช่นกัน
ด้านช่วงล่างเน้นความนุ่มนวล พวงมาลัยน้ำหนักเบา ควบคุมได้สบายมือ เบาะคู่ Relaxation แถวสองสัมผัสอาจจะไม่หรูหราเท่ากับพวกรถตู้ EV จีน หรือ Toyota Alphard ขณะที่การเลื่อนหน้า-ถอยหลัง ขยับซ้าย-ขวา เป็นแบบแมนนวลมือโยก ส่วนการปรับเอียงเอนองศา ยืดที่รองขาเป็นระบบไฟฟ้า
ระบบปรับอากาศแบบ 3 โซน แต่การนั่งเป็นผู้โดยสารแถวสอง หากนั่งฝั่งซ้ายเยื้องคนขับ แล้วต้องการปรับอุณหภูมิแอร์ ไม่สามารถทำได้เอง เพราะแผงควบคุมจะอยู่ด้านบนฝั่งขวา(หลังคนขับ) อย่างไรก็ตาม เมื่อนั่ง 2 ตำแหน่งนี้ ผมพบว่ารถเก็บเสียงรบกวนจากการจราจรภายนอกได้ดี ภายในห้องโดยสารเงียบสมราคา
รถเอ็มพีวีแบบนี้ ยังโดดเด่นด้วยประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ฝั่ง ระยะต่ำสุดจากพื้น 172 มิลลิเมตร ช่วยให้การขึ้น-ลง เข้า-ออก ภายในห้องโดยสารสะดวกครับ
ด้านอัตราบริโภคน้ำมัน แน่นอนว่าตัวรถยาวใหญ่ ประกบด้วยขุมพลังไฮบริดชุดนี้ ขับในเมืองประหยัดแน่นอน ซึ่งตามอีโคสติกเกอร์ทำได้ 20 กม./ลิตร แต่ถ้าขับทางไกลจะกินกว่าเป็น 14.1 กม./ลิตร ดังนั้นถ้าครูสซิ่งยาวๆ นอกเมืองใช้ความเร็วสูงต่อเนื่อง รุ่นดีเซล 2.2 ลิตร ยังดีกว่าที่ 17.9 กม./ลิตร ส่วนการทดสอบของผมแบบเฉลี่ยๆ ไม่บรรทุกคน ขนของหนัก ก็ทำได้แถวๆ 14-15 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ...ครั้งแรกของ KIA Carnival กับขุมพลังไฮบริดในไทย รถขับจริงไม่อุ้ยอ้าย วิ่งในเมืองเป็นหลักประหยัดน้ำมันแน่ๆ เมื่อเทียบกับรถ ICE ในพิกัดเดียวกัน แต่ด้วยราคากับการเป็นเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง คู่แข่งเต็มตลาด ในปัจจุบันขายไม่ง่ายแล้วละครับ ถ้าเทียบกับรุ่น 11 ที่นั่งได้ประโยชน์จากภาษี
รีวิว KIA Carnival HEV : กรกิต กสิคุณ