ญี่ปุ่นเสียแชมป์ “ส่งออกยานยนต์” ให้จีน แม้ยอดส่งออกรวมทะลุ 4.4 ล้านคัน

02 ก.พ. 2567 | 04:42 น.

สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น รายงานปริมาณการส่งออกยานยนต์ของญี่ปุ่นในปี 2566 แม้สูงเกิน 4.42 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 15.98% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่แชมป์ส่งออกยานยนต์โลกกลับตกเป็นของ “จีน” เรียบร้อยแล้ว

 

สำนักข่าวซินหัว สื่อใหญ่ของจีน รายงานอ้างอิงข้อมูลจาก สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น วานนี้ (1 ก.พ.) ซึ่งชี้ว่า ญี่ปุ่น ได้เสีย แชมป์ประเทศที่ส่งออกยานยนต์มากที่สุดโลก ให้กับ จีน ที่มียอดส่งออกมากกว่าญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปี 2566 ที่ผ่านมา

โดยรายงานระบุว่า ระบุ ปริมาณ การส่งออกยานยนต์ของญี่ปุ่น ในปี 2566 รวมอยู่ที่ 4,422,682 คัน ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นรถยนต์นั่งโดยสาร 3,978,141 คัน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขส่งออกยานยนต์ดังกล่าว ยังน้อยกว่าปริมาณการส่งออกยานยนต์ในช่วงเวลาเดียวกันของจีน ซึ่งมีการส่งออกยานยนต์จำนวนทั้งสิ้น 4.91 ล้านคัน เป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นถึง 58% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 

ปรากฎการณ์ส่งออกของจีนทำให้ญี่ปุ่นเสียตำแหน่งผู้ส่งออกยานยนต์อันดับหนึ่งของโลกเป็น “ครั้งแรกในรอบ 7 ปี” ให้กับจีน ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ส่งออกยานยนต์แทนที่ญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว โดยก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นเคยเสียแชมป์มาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งเป็นการเสียตำแหน่งให้กับ "เยอรมนี" ที่เบียดแซงขึ้นมาเป็นอันดับ1 ในปี 2559 

รถยนต์ต้นแบบแนวคิด "ไอคอนิก เอสพี" ของมาสด้า ในงานแสดงยานยนต์ในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2566

ด้านสำนักข่าวเกียวโด สื่อใหญ่ของญี่ปุ่น รายงานว่า ความนิยมและการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก เป็นปัจจัยช่วยให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของจีน สามารถเพิ่มยอดการส่งออก และบุกนำแบรนด์จีนออกไปผงาดทั่วโลก รวมถึงแบรนด์ BYD (บีวายดี) ที่ย่อมาจาก Build Your Dream ซึ่งสามารถทำยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของโลกแซงหน้าเทสลา (Tesla) แชมป์เก่าได้เมื่อเร็วๆนี้เอง (ปี 2566) ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลจีน

ข่าวระบุว่า BYD สามารถทำยอดขายได้มากกว่าเทสลา 41,000 คัน   

นอกจากนี้ ยอดส่งออกยานยนต์ของจีน ยังได้รับอานิสงส์จากตลาดรถยนต์ในรัสเซียด้วย โดยจีนสามารถส่งออกรถยนต์ชนิดใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมไปจำหน่ายในตลาดรัสเซียได้มากขึ้น หลังจากที่นานาประเทศซึ่งรวมทั้งญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป คว่ำบาตรและถอนสินค้าออกจากตลาดรัสเซียเพื่อเป็นการตอบโต้การที่รัสเซียเปิดฉากทำสงครามกับยูเครน 

BYD แบรนด์จีนบุกเป็นที่ 1 ในตลาดโลก แซงหน้าเทสลา (Tesla) แล้วในแง่ยอดขายเมื่อปี 2566

อย่างไรก็ตาม สื่อญี่ปุ่นระบุว่า การรักษาแชมป์ส่งออกยานยนต์ที่จีนเพิ่งคว้าได้มานั้น ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากแม้จะได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลก แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในหลายภูมิภาคทั่วโลกมีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง เนื่องมาจากเหตุผลด้านราคาที่ยังคงแพงอยู่ เมื่อเทียบกับรถยนต์ใช้น้ำมัน และขณะเดียวกัน สถานีประจุไฟฟ้าให้รถยนต์อีวี ก็ยังมีไม่มากนัก โดยเฉพาะในระยะทางไกลๆ เช่นการเดินทางข้ามจังหวัด