ข่าวเด่นที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2568 ต้องยกให้ เนต้า (NETA) ที่ปัจจุบันผู้บริหารชาวจีนเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปเรียบร้อย ทิ้งไว้เพียง ซากปรักหักพังแห่งความหวังของผู้ใช้รถอีวี หนี้ที่มีต่อดีลเลอร์ โรงงานผลิต ซัพพลายเออร์ บริษัทออแกไนเซอร์ และยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคืนในประเทศที่ทำสัญญาไว้กับภาครัฐอีกประมาณ 20,000 คัน(แต่ได้รับเงินสนับสนุนไปก้อนใหญ่แล้ว)
เนต้า ออโต้ ไทยแลนด์ เริ่มถูกจับตามองหลังจากเผชิญ “มรสุมรุมเร้า” ทั้งในแง่ของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปัญหาหนี้สินกับดีลเลอร์ และสถานะทางการเงินของบริษัทแม่ที่จีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดในประเทศไทย
ปี 2567 เนต้า ขายรถในไทยได้ 4,844 คัน ลดลง 65% เมื่อเทียบกับปี 2566 และตามแผนงานต้องทยอยผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยจากการเข้าร่วมมาตรการ EV3.0 อีกประมาณ 20,000 คันในปี 2568 แต่สุดท้ายการผลิตล็อตนี้ไม่เกิดขึ้น
ตามคำยืนยันจากโรงงานบางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี ที่รับจ้างประกอบเนต้า ว่าได้หยุดการผลิตไปเรียบร้อย (ช่วงครึ่งปีแรก 2568) ส่งผลให้กรมสรรพสามิต สั่งชะลอการจ่ายเงินสนับสนุนส่วนที่เหลือทันที
ความเดือดร้อนยังลามไปถึงผู้ใช้รถ ที่ร้องเรียนผ่านสภาผู้บริโภคมากกว่า 220 ราย ปัญหาหลักที่พบคือ การไม่ได้รับป้ายทะเบียนถาวร (ป้ายขาว) ปัญหา CPU ภายในรถ และการขาดแคลนอะไหล่ เนื่องจากศูนย์บริการทยอยปิดตัว
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของแบรนด์ เริ่มส่งสัญญาณไม่ค่อยดี เมื่อพนักงานชาวไทยเข้าแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ โดยระบุว่าถูกหลอกให้เซ็นชื่อเป็น กรรมการบริษัทเพียงคนเดียว ท่ามกลางกระแสข่าวผู้บริหารชาวจีนเตรียมถอนตัว
นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลว่ามีการเปลี่ยนตัวกรรมการถึง 4 ครั้งภายในเวลาเพียง 7 เดือน ขณะที่บริษัทแม่ในจีน (Hozon Auto) เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้การกำกับของศาลเมืองเจียซิง เพื่อฟื้นฟูกิจการหลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง
ในส่วนดีลเลอร์ เมื่อถูกชำระหนี้แทนตัวเงิน(Cash back) ด้วยรถ NETA V-II ส่งผลให้หลายรายตัดสินใจทำ Cut Loss หั่นราคาขายรถต่ำกว่า 4 แสนบาท (แคมเปญในงานมอเตอร์โชว์ 2025 ที่ตั้งไว้ 4.29 - 4.59 แสนบาท) ส่งสัญญาณว่า ต้องการเคลียร์สต๊อกปิดฉากการทำธุรกิจกับค่ายรถจีนรายนี้
จากนั้นในเดือนมิถุนายน 2568 กลุ่มดีลเลอร์ 18 รายทั่วประเทศ รวมตัวกันยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อกรมสรรพสามิต เพื่อขอให้ชะลอการจ่ายเงินอุดหนุนตามมาตรการ EV3.0 ให้แก่เนต้า เนื่องจากบริษัทติดค้างชำระหนี้รวมกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งค่าสนับสนุนการสร้างโชว์รูมและค่าบริการหลังการขาย
หลังจากบริษัทแม่ Hozon Auto ที่จีน ยื่นขอล้มละลายและเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้การกำกับของศาลในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งผู้บริหารในไทย นายซูน เปาหลง เคยเปิดเผยว่า หากสถานการณ์ของบริษัทแม่ที่จีนรอด บริษัทเนต้า ออโต้ ประเทศไทย ก็ต้องรอด
ซูน เปาหลง ย้ำว่า กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ การยกระดับด้านการบริหารจัดการองค์กร และการเพิ่มเงินทุน เป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ให้กลับมาแข็งแกร่ง และยั่งยืนอีกครั้ง
“กระบวนการดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของ เนต้า ออโต้ ประเทศไทย ที่ยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตามปกติ โดยให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้าและพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง” ซูน เปาหลง กล่าว
สุดท้ายปลายเดือนมิถุนายน 2568 นายซูน เปาหลง จองตั๋วเครื่องบิน กลับไปจีน แล้วไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย
ส่วนพันธะผูกพันภาครัฐ โดยกรมสรรพสามิต ยืนยันว่า หลังจากมาตรการ EV3.0 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 68 เท่ากับว่า เนต้า กระทำผิดเบ็ดเสร็จจากการไม่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ดังนั้นจะเริ่มใช้กระบวนการทางกฎหมาย เพื่อเรียกค่าปรับจากฐานภาษี ที่ให้สิทธิประโยชน์จาก 8% ลงมาเหลือ 2% ตลอดจนค่าปรับที่คิดจากเงินชดเชย 1.5 แสนบาทต่อคัน บวกดอกเบี้ย และค่าปรับที่คิดทวีคูณขึ้นไป 1-2 เท่า
สถานการณ์โดมิโนล้มของเนต้า จากบริษัทแม่สู่บริษัทลูกในไทย ส่งผลกระทบต่อดีลเลอร์ ผู้บริโภค และคู่ค้าอีกหลายบริษัท ขณะที่ยอดขาย และการหยุดผลิตรถยนต์ ล้วนเป็นการส่งสัญญาณแพแตกล่วงหน้า แม้ที่ผ่านมาผู้บริหารจะยืนยันตลอดว่า ธุรกิจยังไปได้ รอปรับโครงสร้าง มีคลังอะไหล่ รอเติมเงินเสริมสภาพคล่อง แต่เมื่อพิจารณาด้วยข้อมูลต่างๆ เนต้า เริ่มหมดความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจ จนเดินทางมาถึงการปิดตำนานอีวีราคาประหยัดในที่สุด