KEY
POINTS
รายงานการ์ทเนอร์ อิงค์ ระบุว่า ภายในปี 2569 จะมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) รวมทั้งสิ้น 116 ล้านคัน ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์, รถบัส, รถตู้ และรถบรรทุกหนัก ที่วิ่งอยู่บนถนนทั่วโลก โดยจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 30% ในปี 2569 ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับปีก่อน
นายโจนาธาน เดเวนพอร์ต (Jonathan Davenport) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถยนต์ และหลายรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ยกเลิกเงินอุดหนุนและสิ่งจูงใจเพื่อการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า แต่คาดว่าในปี 2569 จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนจะยังเพิ่มขึ้นถึง 30% และในปีหน้า จีนจะยังเป็นผู้นำตลาด คิดเป็น 61% ของปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด"
ภาพรวมตลาด EV และ PHEV ถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ (BEV) จะยังมีจำนวนเกินครึ่งของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด แต่การ์ทเนอร์พบว่ามีลูกค้าที่เลือกรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากขึ้น การ์ทเนอร์ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ส่วนแบ่งของ BEV ในปี 2569 จากเดิม 77% ลงมาอยู่ที่ 63% อันเนื่องมาจากการนำ BEV มาใช้นั้นช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง BYD จึงให้ความสำคัญกับการนำเสนอและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในหมวด PHEV ซึ่งรวมถึงรถยนต์แบบขยายระยะทางการขับขี่ (Range Extender) ที่มีเครื่องยนต์เบนซินเพื่อจ่ายไฟให้กับเครื่องปั่นไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่
ปัจจัยขับเคลื่อนตลาด
ตลาดจีนเป็นผู้นำ: ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การคาดการณ์ครั้งก่อน เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้ราคาจากผู้ผลิตในประเทศลดลง ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์ในปี 2569 เพิ่มขึ้นจาก 13.4 ล้านคัน เป็น 16.5 ล้านคัน นอกจากนี้ แผนการลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกปัจจัยหนุน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อลดระดับการให้ส่วนลดของผู้ผลิต และกำลังลดจำนวนเงินอุดหนุนลง
ตลาดสหรัฐฯ ชะลอตัว: ในตลาดสหรัฐฯ อุปสงค์ลดลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศใช้อัตราภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถยนต์ และยกเลิกเงินอุดหนุนรวมถึงสิ่งจูงใจสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
กฎระเบียบคือตัวขับเคลื่อนสำคัญ: ผู้ผลิตรถยนต์กำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันด้านกฎระเบียบจากรัฐบาลที่กังวลเกี่ยวกับทั้งคุณภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มากกว่าอุปสงค์โดยตรงจากผู้บริโภค รัฐบาลหลายประเทศได้ส่งสัญญาณว่าจะค่อย ๆ ยกเลิกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) โดยไม่อนุมัติรถยนต์ใหม่ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนประเภทนั้น