ช่วงนี้ผมมีโอกาสลองขับ “ซีรีส์5” โฉมใหม่ รหัสตัวถังG30 แบบติดๆกันรวมแล้ว 4 ขุมพลังครับ ไล่ตั้งแต่ 530e ปลั๊ก-อินไฮบริด และ M550i xDrive ซึ่งสองรุ่นนี้ ข้ามน้ำผ่านทะเลไปที่เยอรมนี เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา(ยังไม่ขายในไทย) และล่าสุดกับทริปที่บีเอ็มดับเบิลยูจัดให้ลองรุ่นที่เปิดตัวในประเทศไทยอย่าง 520d เครื่องยนต์ดีเซล และ530i เบนซิน
โดยทั้ง 2 รุ่นยังเป็นการนำเข้าทั้งคัน 520d Luxury ราคา 3.899 ล้านบาท และมีรุ่นประหยัด 520d Limited ราคา 3.599 ล้านบาท ขณะที่ 530i จัดเต็มแบบ M Sport ราคา 4.399 ล้านบาท
ต้องถือว่าคึกคัก สำหรับเซกเมนต์นี้ เพราะเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส โฉมใหม่ เหลื่อมช่วงเวลาทำตลาดไปก่อน และมีรุ่นประกอบในประเทศเปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดส่งรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด ลงตลาดพร้อมถอดรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 220d ออกไปตามคาด
นั่นทำให้โมเดลหลักของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้ง ซี,อี,เอส-คลาส(CKD) ไม่มีรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทำตลาดแล้ว ดังนั้นใครสนใจรถหรูเครื่องยนต์ดีเซลอาจจะต้องมองมาที่บีเอ็มดับเบิลยูที่ยังมีให้เลือกครบ(ส่วนซีรีส์5 ปลั๊ก-อินไฮบริด น่าจะมาปลายปีนี้)
ในภาพรวมของการพัฒนา“ซีรีส์5” เจเนอเรชันที่ 7 บีเอ็มดับเบิลยู เน้นไปที่วิศวกรรมเชิงโครงสร้างที่ใช้อลูมิเนียม แมกนีเซียมเข้ามาเสริม และแม้ตัวถังจะใหญ่ขึ้นในทุกมิติ แต่สามารถลดน้ำหนักตัวไปได้ 100 กิโลกรัม ซึ่งเป็นตัวเลขเฉลี่ยๆของทุกรุ่นที่จะใช้สื่อสารในการทำตลาด
หากพิจารณาเป็นรุ่นๆไป ตัว 530i จะเบากว่า 528i ตัวเก่า(F10) ถึง 115 กิโลกรัม ขณะที่ 520d เบาลง 70 กิโลกรัม ทั้งยังเคลมว่าค่าสัมประสิทธแรงเสียดทาน Cd ต่ำสุดในคลาสที่ 0.22
นอกจากนี้ค่ายใบพัดสีฟ้ายังประสบความสำเร็จจากตัวเลขประสิทธิผลอย่าง 530i กำลังเพิ่มขึ้นเป็น 252 แรงม้าจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรบล็อกใหม่ (528i กำลัง 218 แรงม้า) แต่กลับกินน้ำมันและปล่อยไอเสียน้อยลง เป็น 17.5 กม./ลิตร และ 129 กรัม/กม. ตามลำดับ (528i เคยเคลมไว้ 16.4 กม./ลิตร และ 142 กรัม/กม.)
เช่นเดียวกับ 520d ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร กำลัง 190 แรงม้าเท่าเดิม แต่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ดีขึ้นเป็น 7.5 วินาที (520d ตัวเก่า 7.7 วินาที) ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันและปล่อยไอเสีย เป็น 20 กม./ลิตร และ 132 กรัม/กม.ตามลำดับ(520d ตัวเก่าเคยเคลมไว้ 19.2 กม./ลิตร และ 137 กรัม/กม.)
แล้วก็เหมือนเดิมที่มักนำเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ที่ถูกใส่มาก่อนใน “ซีรีส์7” (เปิดตัวไปก่อนประมาณ 1 ปี) มาใส่ในซีรีส์5นี้ ทั้งกุญแจรีโมทแบบหน้าจอสัมผัสที่ใหญ่ประมาณสมาร์ทโฟน เอาไว้ดูข้อมูลต่างๆและตั้งเวลาให้รถเปิดระบบแอร์ล่วงหน้าก่อนเราจะเข้าไปนั่งในรถได้
ขณะที่รุ่นท็อป รุ่น530i เพิ่มระบบช่วยถอยเข้าจอดอัตโนมัติ ที่ทำได้ทั้งแบบขนานและเข้าซองโดยผู้ขับไม่ต้องควบคุมพวงมาลัย เบรก และเปลี่ยนเกียร์เลย อย่างการเข้าจอดแบบขนานที่เป็นความลำบากของหลายคน แต่ซีรีส์5 ขอแค่พื้นที่เหลือมากกว่าตัวรถเพียง 80 ซม.ก็สามารถแทรกเข้าไปจอดได้สบาย(ความยาวรถ 4.93 เมตร ดังนั้นช่องจอดเหลือพื้นที่ 5.02 เมตรก็จอดได้แล้ว)
530i ยังจัดระบบ Gesture Control ที่ควบคุมฟังก์ชันหลักด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวของมือ พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ที่แสดงผลได้ทั้งข้อมูลระบบนำทาง โทรศัพท์ เพลง และเมนูต่างๆของรถ
สำหรับการทดสอบใช้เวลาส่วนมากไปที่สนามบินเล็กขนงพระ อ.ปากช่อง เน้นสัมผัสสมรรถนะเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง การควบคุม และช่วงล่างครับ แน่นอนว่าในรุ่น 530i มีขีดขั้นของพลังทะลุทะลวงชัดเจนกว่า 520d เช่นเดียวกับการควบคุมและการเกาะถนนที่หนึบแน่น ส่วนหนึ่งเพราะรุ่นแรกใช้ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ประกบยางหน้า 245/40 R19 หลัง 275/35 R19 และเซ็ทช่วงล่างมาสปอร์ตกว่า ขณะที่ 520d ใช้ล้อ 18นิ้ว ยาง 245/45 R18 ซึ่งอารมณ์ของการโยนตัวในโค้งต่างกันพอสมควร
ทว่าแรงบิด 400 นิวตันเมตรของ 520d ไม่ธรรมดาครับ จังหวะออกตัวหรืออัตราเร่งในตีนต้นยังสร้างความประทับใจ หากลองจับบุคลิกรวมๆที่เปลี่ยนไปจากตัวเก่าอย่างไร ก็ให้มาเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลนี้เห็นชัดครับ ทั้งน้ำหนักพวงมาลัยเบาลง การออกแบบเบาะหน้า-หลังนั่งสบายขึ้น และการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารเงียบกริบ(อาจจะเป็นเพราะขับในสนามบินด้วย) เรียกว่าปรับบุคลิกใหม่ให้นุ่มนวลชวนสุภาพมากขึ้น
รวบรัดตัดความ...ยกระดับความหรูหรา และพัฒนาการขับขี่ให้เนียนนิ่มอย่าง 520d หากเป็นรุ่นประกอบในประเทศน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ทว่าใครอยากได้รถเร็ว เอาไปขับเท่ก่อนพร้อมออปชันครบ 530i M Sport สามารถตอบสนองความต้องการได้ครบถ้วน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,263 วันที่ 21 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560