ค่าเงินบาทวันนี้เปิดตลาด “แข็งค่า”ที่ระดับ 36.24 บาท/ดอลลาร์

14 ก.ค. 2565 | 01:05 น.

ค่าเงินบาทมีโอกาสทดสอบแนวต้านที่ 36.50บาท/ดอลลาร์ หากทางการจีนใช้มาตรการ Lockdown จริง จนเกิดแรงเทขายสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia มองแนวรับในระยะสั้น ยังอยู่ในช่วง 35.90-36.00 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  36.24 บาทต่อดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.28 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 12 กรกฎาคม)

 

นายพูน พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า  เงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนและมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าได้ ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์

 

รวมถึงความกังวลแนวโน้มทางการจีนอาจใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 ซึ่งเราประเมินว่า แนวรับของเงินบาทในระยะสั้น ยังอยู่ในช่วง 35.90-36.00 บาทต่อดอลลาร์

ส่วนแนวต้านสำคัญยังเป็นโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ (มีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้าน หากทางการจีนใช้มาตรการ Lockdown จริง จนเกิดแรงเทขายสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia)

 

อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า จุดกลับตัวของเงินดอลลาร์อาจเกิดขึ้นในช่วงการประชุมเฟดปลายเดือนนี้ หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง (รอลุ้นเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะกลางในวันศุกร์นี้ ว่าจะทรงตัวหรือย่อตัวลงหรือไม่) ทำให้ยังมีโอกาสที่เงินบาทจะเริ่มกลับตัวมาแข็งค่าได้

 

ทั้งนี้ เรามองว่า ความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินเฟดได้กลับมากดดันตลาดการเงินอีกครั้ง ทำให้ตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูงในระยะนี้ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ใช้ Options ซึ่งสามารถเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพในช่วงตลาดผันผวนหนักได้

 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.15-36.35 บาท/ดอลลาร์

 

ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงของเฟดอีกครั้ง หลังอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน พุ่งขึ้นสู่ระดับ 9.1% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

 

การเร่งขึ้นของเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ นั้น ก็มาในวันเดียวกันกับที่ ธนาคารกลางแคนาดา (BOC) เร่งขึ้นดอกเบี้ย 1.00% สู่ระดับ 2.50% มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

 

กอปรกับประธานเฟดสาขา Atlanta ก็เริ่มมองว่า การขึ้นดอกเบี้ย 1.00% อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดมองว่ามีโอกาสถึง 78% ที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยถึง 1.00% บ้าง ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ (โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยมาจาก CME FedWatch Tool)

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดจะมองว่าเฟดอาจจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพื่อคุมเงินเฟ้อ แต่ก็อาจแลกมาด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและผู้เล่นส่วนใหญ่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง

 

ฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผู้เล่นยังคงกังวลแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่อาจได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนัก กดดันให้หุ้นกลุ่มธนาคารต่างปรับตัวลดลง (Bank of America -1.7%, Wells Fargo -1.3%)

 

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อ Buy on Dip หุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Amazon +1.1% ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.45%

 

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวลงต่อเนื่องกว่า -1.01% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปอาจเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอย

 

ท่ามกลางความเสี่ยงธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ในจังหวะที่ยุโรปก็อาจเผชิญวิกฤติพลังงาน ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงขายหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อแนวโน้มเศรษฐกิจต่างปรับตัวลดลง

 

อาทิ หุ้นกลุ่มยานยนต์ (Volkswagen -1.8%) หุ้นกลุ่มธนาคาร (UBS -3.0%) ส่วนกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยก็เผชิญแรงขายจากความกังวลทางการจีนอาจใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้ง (Dior -1.1%)  

 

ทางด้านตลาดบอนด์ แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ย 1.00% ของเฟด หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ สูงกว่าคาด ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3.05% ก่อนที่จะย่อตัวลงสู่ระดับ 2.94%

 

จากความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจหลักอาจเข้าสู่สภาวะถดถอยยังคงหนุนให้พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด

 

ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดจะเริ่มมองโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงมากขึ้นจากเดิมมาก แต่เรามองว่า เฟดอาจรอประเมินสถานการณ์ผ่านรายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะกลางในวันศุกร์นี้ (U of Michigan 5-year Inflation Expectations) ก่อน ทำให้ทิศทางของบอนด์ยีลด์อาจยังผันผวนได้ในช่วงนี้จนกว่าตลาดจะรับรู้ข้อมูลดังกล่าว 

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวนหนักในช่วงก่อนและหลังรับรู้เงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก

 

ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 108.3 จุด โดยแรงกดดันเงินดอลลาร์ส่วนหนึ่งมาจากการขายทำกำไร เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนมองว่า ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 1.00% ได้จริงก็อาจสะท้อนว่า เฟดคงไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงได้ไปมากกว่านี้แล้ว (Peak of Hawkishness)

 

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจถดถอย

 

อนึ่ง แม้เงินดอลลาร์จะแกว่งตัว sideways หรือย่อลงเล็กน้อย พร้อมการบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ย่อตัวลงบ้าง แต่แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็เป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำยังแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,730 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับวันนี้ เรามองว่า ตลาดการเงินอาจยังคงเผชิญความผันผวนสูงท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอย หากเฟดเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงเพื่อคุมเงินเฟ้อ

 

อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงาน เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะกลางในวันศุกร์นี้ก่อน เพื่อให้มั่นใจว่า เฟดจะมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้ 1.00% ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ เนื่องจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็มาจากแนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะกลาง

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.25-36.28 บาทต่อดอลลาร์ฯ (8.40 น.) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาด (offshore) วานนี้ ที่ 36.14 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับหลายสกุลเงินในเอเชีย สวนทาง sentiment ที่แข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการเร่งคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด โดยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาดในเดือนมิ.ย. (+9.1% YoY) กระตุ้นมุมมองที่ว่า อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 100 bps. ในการประชุม FOMC เดือนนี้

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.15-36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามใน ได้แก่ สถานการณ์เงินทุนต่างชาติ และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมิ.ย. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์