สศค. จับตา สงครามรัสซีย-ยูเครน หนุนราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อพุ่ง

29 มิ.ย. 2565 | 05:32 น.

สศค. เผยท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทย พ.ค. 65 ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง 7.10% พร้อมจับตาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ใกล้ชิด เนื่องจากยังส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพของประชาชนให้ปรับตัวสูงขึ้น

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤษภาคม 2565 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2565 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย

 

ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ได้ส่งผลกระทบต่อระดับราคาพลังงาน ต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพของประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 29.0 และ  15.7 ตามลำดับ สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนพฤษภาคม 2565 ขยายตัวเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 13.3

ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนพฤษภาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 11.0 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ -2.0

 

และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม 2565 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 40.2 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลผลกระทบความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและระดับราคาสินค้าทั่วไปปรับตัวสูงขึ้น

 

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนพฤษภาคม 2565 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -11.7

 

และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -3.5 ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 24.6 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -8.4

 

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนพฤษภาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 11.4 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 5.7 จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ เช่น ข้าวเปลือก ยางพารา ไข่ไก่ และสินค้าในหมวดไม้ผล เป็นต้น

 

สำหรับด้านบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนพฤษภาคม 2565 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 521,410 คน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 8,515.5

 

โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากอินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนพฤษภาคม 2565 จำนวน 15.8 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 1,053.2

 

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม 2565 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 84.3 จากระดับ 86.2 ในเดือนเมษายน 2565

 

เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงาน ต้นทุนการผลิตทั้งจากราคาวัตถุดิบและค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกำลังซื้อในประเทศชะลอตัวจากปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้มีปัจจัยกดดันจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้า สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 7.10 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.28

 

ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 60.8 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

 

รวมทั้งผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรายใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 0.58 ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทั้งหมด สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ในระดับสูงที่ 230.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ