อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทวันนี้เปิดตลาด "อ่อนค่า" ที่ระดับ  33.71 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลง

19 เม.ย. 2565 | 00:24 น.

ค่าเงินบาทวันนี้คาดว่ากรอบจะอยู่ที่ระดับ 33.65-33.80 บาท/ดอลลาร์ ยังคงผันผวนในกรอบ Sideways ต่อ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.71 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.66 บาทต่อดอลลาร์

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังคงผันผวนในกรอบ Sideways ต่อ โดยมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ามาจากทิศทางของเงินดอลลาร์ที่ยังแข็งค่าขึ้นจากแนวโน้มเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะสั้น

 

นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้จะมีโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลราว 4-5 พันล้านบาท ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันต่อค่าเงินบาทได้ อนึ่ง เรามองว่า โฟลว์ขายทำกำไรราคาทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นแตะแนวต้านสำคัญก็อาจพอช่วยไม่ให้เงินบาทอ่อนค่าไปมากได้ในช่วงนี้ 

นอกจากนี้ เราเริ่มเห็นผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงโซน 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้หากตลาดไม่ได้อยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงไปมาก เงินบาทก็อาจไม่ได้เผชิญแรงกดดันจนอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ง่าย

 

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-33.80 บาท/ดอลลาร์

 

บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงถูกกดดันโดยความกังวลแนวโน้มเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะยังคงสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะเงินดอลลาร์ และยังไม่กล้าเพิ่มการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง กดดันให้ ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลงราว -0.14% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.02% อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับตัวลดลงรุนแรงมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ว่าจะมีแนวโน้มดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์หรือไม่ เพราะแนวโน้มผลประกอบการที่ยังเติบโตได้ดีกว่าคาด อาจสามารถช่วยพยุงตลาดหุ้นในช่วงนี้ได้

ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าทยอยลดการถือครองบอนด์ระยะยาวจากแนวโน้มเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการเร่งลดงบดุล (QT) ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 2.85% ทั้งนี้ ในระยะสั้นอาจต้องติดตามสถานการณ์สงครามที่อาจเข้ามากดดันบรรยากาศการลงทุนให้กลับสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยงได้ ซึ่งในภาพดังกล่าวการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เพราะผู้เล่นบางส่วนอาจเลือกที่จะเข้ามาถือครองบอนด์ระยะยาวบ้างในช่วงที่ความเสี่ยงสงครามร้อนแรงขึ้น

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.)  ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทและสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินเยน ซึ่งเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อเนื่องจากความแตกต่างระหว่างแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และญี่ปุ่น  (ล่าสุด เงินเยนร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 20 ปี) 

นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นไปที่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 2.88% ขณะที่ตลาดทยอยประเมินโอกาสที่จะเห็นเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปีนี้ หลังจากที่ประธานเฟดสาขา St. Louis กล่าวย้ำถึงความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 50 basis points หลายรอบการประชุม (ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเฟดขยับขึ้นไปที่ 3.50% ในช่วงสิ้นปีนี้) เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ คาดไว้ที่ 33.65-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประมาณการเศรษฐกิจโลกของ IMF สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมี.ค. ของสหรัฐฯ
 

 

 

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 100.8 จุด หนุนโดยความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความร้อนแรงของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนและแรงหนุนจากแนวโน้มเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดจะปิดรับความเสี่ยง แต่จะเห็นได้ว่า ผู้เล่นในตลาดกลับเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มากกว่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เนื่องจากส่วนต่างระหว่างบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นนั้นยังคงเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและเร่งลดงบดุลของเฟด ทำให้เงินเยน (JPY) อ่อนค่าต่อเนื่องสู่ระดับ 127 เยนต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ ความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความผันผวนในตลาดการเงิน ยังช่วยหนุนให้ ราคาทองคำสามารถทรงตัวเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ก่อนที่จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งแรงขายทำกำไร รวมถึงการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่ระดับ  1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราประเมินว่า ราคาทองคำยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ต่อ หนุนโดยความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย แต่หากตลาดไม่ได้ปิดรับความเสี่ยงรุนแรง ราคาทองคำก็อาจติดแนวต้านแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตาสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังรัสเซียเดินหน้าบุกโจมตีพื้นที่ฝั่งตะวันออกและทางตอนใต้ของยูเครนหนักขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงกังวลว่าสถานการณ์สงครามอาจยืดเยื้อกว่าคาดและบรรดาประเทศฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะยุโรปอาจตัดสินใจใช้มาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียได้

 

ส่วนในด้านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดมองว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.50% ไปก่อน จนกว่าจะมั่นใจแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แม้ว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) รวมถึง ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในสัปดาห์ก่อน

 

นอกจากนี้ ตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเราประเมินว่า หากผลกำไรยังเติบโตได้ดีกว่าคาดก็อาจพอช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดช่วงนี้ได้ ทำให้ แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงรุนเร้า ตลาดหุ้นก็อาจจะไม่ได้ปรับฐานหนัก