ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ "อ่อนค่า" ที่ระดับ 32.73 บาท/ดอลลาร์

28 ก.พ. 2565 | 00:19 น.

เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงได้ หากตลาดปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลสถานการณ์สงครามที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น  แต่อาจไม่ได้อ่อนค่าไปมาก เนื่องจากยังคงได้แรงหนุนด้านแข็งค่าจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.73 บาทต่อดอลลาร์ "อ่อนค่า"ลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า  ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์


นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทย ระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินผันผวนอย่างหนัก โดยตลาดปิดรับความเสี่ยงรุนแรงหลังรัสเซียเปิดฉากโจมตียูเครน

 

สำหรับสัปดาห์นี้ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด โดยภาวะสงครามที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นตัวแปรใหม่ต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก จึงควรติดตาม ท่าทีของธนาคารกลางหลักต่อการปรับนโยบายการเงิน หลังเกิดภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนขึ้น
 

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
 

ฝั่งสหรัฐฯ : ตลาดคาดว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง หลังการระบาดโอมิครอนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) เดือนกุมภาพันธ์ที่จะปรับตัวขึ้นแตะระดับ 58 จุด และ 61 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกินระดับ 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)
 

ส่วนตลาดแรงงานก็ฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) จะเพิ่มขึ้น 4 แสนตำแหน่ง หนุนให้อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 3.9% ทั้งนี้ ตลาดจะให้ความสนใจถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อผลกระทบของสงครามที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ รวมถึงการตัดสินใจนโยบายการเงินของเฟด โดยตลาดจะรอลุ้น การแถลงต่อสภาคองเกรสของประธานเฟด Jerome Powell ซึ่งคาดว่าจะมีการพูดถึงผลกระทบของสงครามต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต
 

ฝั่งยุโรป : สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง แม้ว่าจะมีรายงานว่าทั้งสองฝ่ายเตรียมเจรจาเพื่อหาทางออก โดยตลาดการเงินพร้อมปิดรับความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว หากสงครามมีความรุนแรงขึ้น หรือ ทั่วโลกเดินหน้าใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นต่อรัสเซีย

 

อนึ่ง การประกาศตัดสถาบันการเงินรัสเซียบางส่วนจากระบบ SWIFT อาจส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดเทขายหุ้นกลุ่มการเงิน โดยเฉพาะ สถาบันการเงินอิตาลีและฝรั่งเศส ที่มีการทำธุรกรรมกับรัสเซียในสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้ ควรติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB ถึงมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อหลังเกิดสงครามขึ้น รวมถึงท่าทีของ ECB ต่อการปรับนโยบายการเงินในอนาคต 

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ตลาดประเมินว่า สถานการณ์การระบาดของโอมิครอนในยุโรปที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนักจะทำให้ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมกราคมมีแนวโน้มโตกว่า +1.5% จากเดือนก่อนหน้า ทว่าผลกระทบของสงครามอาจส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้คนชะลอตัวลงได้ในไตรมาสแรกของปีนี้
 

ฝั่งเอเชีย : ตลาดประเมินว่าผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอนในญี่ปุ่นจะกดดันการใช้จ่ายครัวเรือนในเดือนมกราคม โดยยอดค้าปลีกจะหดตัวถึง -1.2% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนในฝั่งของจีน ภาพรวมเศรษฐกิจจะยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอนและการใช้มาตรการ Zero COVID โดยเฉพาะภาคการบริการที่จะขยายตัวในอัตราชะลอลง ชี้จาก ดัชนี PMI ภาคการบริการในเดือนกุมภาพันธ์จะลดลงสู่ระดับ 50.7 จุด เช่นเดียวกันกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่อาจหดตัวลง สะท้อนผ่าน ดัชนี PMI ภาคการผลิตที่จะลดลงสู่ระดับ 49.8 จุด 
 

ทั้งนี้ แนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจออสเตรเลียและมาเลเซีย ขณะที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อยังมีไม่มากนัก จะช่วยหนุนให้ธนาคารกลางทั้งสองประเทศสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบันต่อได้ โดยตลาดมองว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.10% และ 1.75% ตามลำดับ
 

ฝั่งไทย : ตลาดมองว่า ยอดการส่งออกในเดือนมกราคมมีแนวโน้มขยายตัวราว +18%y/y ตามภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกหลังการระบาดโอมิครอนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก อย่างไรก็ดี ยอดการนำเข้าอาจพุ่งขึ้นกว่า +21%y/y จากราคาสินค้าพลังงานที่เร่งตัวสูงขึ้น ทำให้ดุลการค้าในเดือนมกราคมอาจขาดดุลเล็กน้อย นอกจากนี้ การทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าในเดือนกุมภาพันธ์อาจหนุนให้ภาคการผลิตขยายตัวดีขึ้น โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 52 จุด
 

ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 47.8 จุด เช่นกัน อนึ่ง ระดับราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและฐานของค่าใช้จ่ายครัวเรือนที่อยู่ในระดับต่ำของปีก่อนหน้าจากมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของภาครัฐ จะหนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนกุมภาพันธ์ พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.1%   
 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงได้ หากตลาดปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลสถานการณ์สงครามที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมาก เนื่องจากเงินบาทยังคงได้แรงหนุนด้านแข็งค่าจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ รวมถึงผู้เล่นต่างชาติบางส่วนยังคงรอจังหวะเข้ามาเก็งกำไรธีมเงินบาทแข็งค่าจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวอยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่สถาบันการเงินต่างชาติบางส่วนยังมองเป้าเงินบาทปลายปีแข็งค่ากว่า 30.50-31.00 บาทต่อดอลลาร์ 
 

ทั้งนี้ สภาพคล่องที่ไม่ค่อยดีและการวางออเดอร์ที่กว้างของทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออก จะส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนหนักและแกว่งตัวในกรอบที่กว้างกว่าปกติได้ โดยเรามองว่า แนวรับสำคัญยังคงเป็นโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าผู้นำเข้าก็ต่างรอซื้อเงินดอลลาร์และนักลงทุนต่างชาติบางส่วนก็อยากขายทำกำไร ณ โซนดังกล่าว ส่วนแนวต้านที่สำคัญนั้น เราคาดว่าผู้ส่งออกจะรอขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงใกล้ช่วง 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้โซนดังกล่าวจะเป็นแนวต้านสำคัญในระยะนี้
 

ส่วนเงินดอลลาร์ยังคงมีแรงหนุนจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้ง อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดยังคงถือเงินดอลลาร์ จนกว่าจะเห็นความสำเร็จของการเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ก็อาจยังได้แรงหนุน หากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดยังคงสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ 
 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.90 บาท/ดอลลาร

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.80 บาท/ดอลลาร์

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทพลิกอ่อนค่ามาเคลื่อนไหวในกรอบประมาณ 32.73-32.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงท่ามกลางแรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ ในฐานะที่เป็นสกุลเงินปลอดภัย มีสภาพคล่องสูง ขณะที่ตลาดยังคงรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสำเร็จ-ความล้มเหลวของการเจรจาระหว่างกัน นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจากกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งน่าจะยังคงเห็นเฟดขยับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนมี.ค.นี้

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในระหว่างวัน ได้แก่ ประเด็น/สถานการณ์ในยูเครน-รัสเซีย ทิศทางมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนม.ค. ของธปท. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนม.ค.ของสหรัฐฯ