ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ “อ่อนค่า”ที่ระดับ 33.43 บาท/ดอลลาร์

31 ม.ค. 2565 | 00:26 น.

ค่าเงินบาทแนวต้านสำคัญจะอยู่ใกล้ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ คาดว่าผู้ส่งออกต่างรอขายเงินดอลลาร์ ขณะที่ฝั่งผู้นำเข้าอาจรอให้แข็งค่ากลับมาใกล้ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ จึงจะเริ่มทยอยเข้าทำธุรกรรม

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.43 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่า”ลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  33.38 บาทต่อดอลลาร์

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยยระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินยังคงผันผวนหนักจากความกังวลว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าที่คาดและปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

 

สำหรับสัปดาห์นี้ จับตาการประชุมของธนาคารกลางหลัก อาทิ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ว่าทั้งสองธนาคารกลางหลักจะส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยเหมือนกับเฟดหรือไม่ นอกจากนี้ ควรติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

 

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดประเมินว่า ผลกระทบของการระบาดโอมิครอนอาจกดดันให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการขยายตัวในอัตราชะลอลง ชี้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนมกราคมที่จะลดลงสู่ระดับ 57 จุด และ 58 จุด ตามลำดับ

 

ทั้งนี้ การฟื้นตัวเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงในระยะสั้นจะไม่ได้กดดันให้เฟดเปลี่ยนมุมมองที่พร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย

อีกทั้ง ตลาดแรงงานยังเดินหน้าฟื้นตัวต่อเนื่องซึ่งอาจสะท้อนผ่านยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนมกราคมที่จะเพิ่มขึ้นกว่า 1.5 แสนราย ขณะที่อัตราการว่างงาน (Unemployment rate) จะอยู่ที่ระดับ 3.9% ที่น่าสนใจคือ ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง (Average Hourly Earnings) อาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า +5.2%y/y สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯที่มีความตึงตัวมากขึ้น จนทำให้บริษัท/นายจ้างจำเป็นต้องขึ้นค่าจ้างเพื่อดึงดูดแรงงาน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ

 

ฝั่งยุโรป – การระบาดของโอมิครอนในยุโรป รวมถึงปัญหาขาดแคลนพลังงานและปัญหาด้าน Supply Chain จะกดดันให้เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวเพียง +0.3% จากไตรมาสก่อนหน้า ชะลอลงหนักจากที่โตได้ถึง +2.3% ในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้ ตลาดต่างคาดหวังว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจยูโรโซนจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้งในปีนี้ หากปัญหาการระบาดโอมิครอนเริ่มคลี่คลายลง

 

ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.16-33.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.21 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขาย เนื่องจากตลาดสลับจุดสนใจไปที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางยุโรปในวันพฤหัสบดี ประกอบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดหลายรายออกมาแสดงความคิดเห็นว่า มีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยที่เฟดจะขยับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 25 bps. ในการประชุม FOMC เดือนมี.ค. นี้

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.10-33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค. ของสหรัฐฯ และดัชนี PPI ของยูโรโซน
 

 

 

 

นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ของยูโรโซนในเดือนมกราคมอาจอยู่ในระดับสูงที่ 4.5% หนุนโดยระดับราคาสินค้าพลังงานที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด อาจเริ่มเป็นแรงกดดันต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า ในการประชุม ECB ที่จะถึงนี้นั้น ทาง ECB อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ที่ -0.50%

 

และยังไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยประธาน ECB อาจยืนกรานว่า ECB ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้เพื่อหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ อนึ่งผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ECB มีโอกาสราว 64% ที่จะขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้ง ณ การประชุมในเดือนธันวาคม

 

ส่วนในฝั่งอังกฤษนั้น เราคาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.50% หลังสถานการณ์การระบาดโอมิครอนในอังกฤษคลี่คลายลง ส่งผลให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นกว่าที่ BOE เคยคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ เราคาดว่า BOE จะส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มองว่ามีโอกาสถึง 60% ที่ BOE อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 5 ครั้งในปีนี้

 

ฝั่งเอเชีย – ยอดค้าปลีกญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมอาจขยายตัวกว่า +2.8%y/y ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ทว่าการระบาดของโอมิครอนในช่วงต้นปีที่ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นยกระดับมาตรการควบคุมการระบาด (Quasi-State of Emergency) ซึ่งอาจกดดันการบริโภคและใช้จ่ายของผู้คน ทำให้ยอดค้าปลีกในเดือนมกราคมอาจหดตัวลงได้

 

ส่วนในฝั่งออสเตรเลีย ตลาดประเมินว่า แนวโน้มเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น จะหนุนให้ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ ลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้ ในการประชุม RBA ที่จะถึงนี้ ตลาดมองว่า RBA อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.10% เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจในช่วงที่มีการระบาดของโอมิครอน

 

ฝั่งไทย – เรามองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนมกราคมมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 2.4% หนุนโดยราคาสินค้าพลังงานรวมถึงราคาอาหารสดที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี แม้อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้น แต่เรามองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังไม่ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นตามธนาคารกลางอื่นๆ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนวิกฤติ COVID-19

 

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้บ้าง ถ้าตลาดการเงินยังผันผวนสูงและไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงซึ่งจะมีผลต่อทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ การปรับแผนรับมือการระบาดของรัฐบาลที่เตรียมประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) อาจช่วยหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมากและเชื่อว่าผู้เล่นบางส่วนโดยเฉพาะผู้เล่นต่างชาติต่างก็รอจังหวะให้เงินบาทอ่อนค่าเพื่อกลับมาเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าอีกครั้ง ส่วนแนวต้านสำคัญเงินบาทจะอยู่ใกล้ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าผู้ส่งออกต่างรอขายเงินดอลลาร์ ในขณะที่ฝั่งผู้นำเข้าอาจรอให้เงินบาทแข็งค่ากลับมาใกล้ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ ถึงจะเริ่มทยอยเข้าทำธุรกรรม

 

ส่วนเงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงได้ หากตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ หาก BOE หรือ ECB ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ก็อาจหนุนค่าเงินปอนด์หรือเงินยูโรและกดดันเงินดอลลาร์ได้

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.10-33.60 บาท/ดอลลาร์

 

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.30-33.50 บาท/ดอลลาร์

 

ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 33.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ อ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวันทำการก่อนหน้าที่ 33.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ  โดยเงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังคงได้รับอานิสงส์จากกระแสการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด อาจเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงของสหรัฐฯ (ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE Price Index) ขยับขึ้น 4.9% YoY ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มมากสุดนับตั้งแต่ก.ย. 2526
 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.35-33.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 สัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2564 ของยูโรโซน