แนะทยอยลงทุนทองคำ รับแนวโน้มขาขึ้นปีหน้า

08 ต.ค. 2564 | 09:51 น.

เทรนด์ลงทุนไตรมาส 4 หลังโควิด-19 คลี่คลาย ทิศทางเปิดเมืองชัดเจนขึ้น ส่งผล “ดอลลาร์-น้ำมัน บิทคอยน์” ยังมีโอกาสอัพไซส์ แนะทยอยเข้าซื้อทองคำ 3 เดือนโค้งท้ายปี 64 รับปีหน้าขาขึ้น

เข้าสู่โค้งท้ายปี 2564 สถานการณ์ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ตลาดเริ่มมองบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ จากการที่ไทยสามารถกระจายฉีดวัคซีนระดับหนึ่งแล้ว โอกาสที่จะกลับไปล็อกดาวน์ในไตรมาส 4 มีน้อยกว่าปีก่อน แม้จะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดยังสูง แต่การเจ็บป่วยไม่รุนแรง จึงเห็นสัญญาณการเปิดเมืองและการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น

 

นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮงเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวโน้มการลงทุนช่วง 3 เดือนที่เหลือตลาดให้ความสนใจว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะดำเนินนโยบายการเงินในลักษณะไหน เพราะยังมีประเด็นการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐที่สภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้

นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง

ขณะที่สัญญาณเฟดจะลดขนาดวงเงินซื้อพันธบัตร (QE Tapering) โดยจะประกาศในเดือนพฤศจิกายนและถอน QE ในเดือนธันวาคมปลายปีนี้ อาจจะเป็นแรงกดดันราคาทองคำ เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และบอนด์ยีลด์สหรัฐอาจจะปรับขึ้นเช่นกัน

 

“ช่วงที่เฟดถอน QE รอบนี้ อาจกดดันให้ราคาทองคำลดลงบ้าง แต่ไม่น่ารุนแรงเหมือนปี 2556 เพราะตลาดรับรู้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ระยะยาว หากเศรษฐกิจฟื้นตัว ก็จะเห็นราคาทองคำปรับขึ้นในปีหน้า ซึ่งช่วงสั้นมองแนวต้าน 1,770 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากหลุด 1,750 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งหากหลุดแนวรับที่ 1,750 ดอลลาร์ลงมา ก็จะไปแนวรับถัดไปที่ 1,730

“ปีนี้ราคาทอง Spot ลดลง 7% แต่ผลจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงในปีนี้ราว 4 บาทหรือ 13% ทำให้ราคาทองแท่งในประเทศกลับเพิ่มขึ้น 4.6% หากมีประกาศถอน QE ผลกระทบราคาทองไม่มาก ส่วนนักลงทุนที่กลัวตกขบวน แนะนำทยอยเข้าซื้อตั้งแต่ตอนนี้ อาจเป็นโอกาสขายในเดือนมกราคม เพื่อทำกำไรในปีถัดไป” นายธนรัชกล่าว

 

ด้านนายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า แม้ภาพรวมไตรมาส4 มีความเสี่ยงมากขึ้นจากความผันผวนของเงินเฟ้อ แต่นโยบายการเงินที่ยังเข้มงวดในแต่ละประเทศจะช่วยประคองและการตั้งรับโควิด-19 ที่ไม่น่าจะกลับไปล็อกดาวน์อีก จึงเป็นจังหวะของการลงทุนและเก็งกำไร ไม่ว่าจะตลาดเงินหรือตลาดทุน และสินค้าโภคภัณฑ์

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน  บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด

 

ช่วงปลายไตรมาส 3 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อมีความโดดเด่น จึงเป็นโอกาสของการลงทุนที่สามารถป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อได้เช่น น้ำมัน สินแร่ที่เป็นพื้นฐานอุตสาหกรรม แต่สินทรัพย์หลักที่ต้องระวังมากคือ ตราสารหนี้ทั่วไป ผลตอบแทนไม่เด่นแต่ความเสี่ยงต่ำผันผวนน้อย อย่างเก่งปรับลด 1-2% และโอกาสเห็นยีลด์ปรับขึ้น

ส่วนหุ้นอาจต้องระมัดระวัง เพราะปัญหาเงินเฟ้อรอบนี้เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินที่ไม่สามารถช่วยด้วยการลดดอกเบี้ย แต่จุดเด่นคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบใหม่ปี 2566 ดังนั้น น่าจะเป็นการลงทุนตลาดหุ้นของทวีปที่เน้นอุตสาหกรรมและบริการเป็นหลัก โดยกระจายการลงทุนมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย ญี่ปุ่น และยุโรป

 

ในแง่ทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น จะเห็นราคาทองซึม ต้องรอจังหวะปรับฐานหรือสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่มองว่า ราคาทองยังไม่เกิน 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนสินทรัพย์อื่น สินค้าเกษตร เช่น ฝ้าย กาแฟ น้ำตาล ราคาปรับตัวขึ้น 40-50% มีแนวโน้มไปได้ต่อช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นเช่นเดียวกันกับสินแร่

 

ด้านราคาน้ำมันดิบปีนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 58% จากต้นปีอยู่ที่ 49.43 ดอลลาร์ต่อบาเรล ปรับเป็น 76.67ดอลลาร์ต่อบาเรลล์ และมีโอกาสอัพไซส์ที่ 80 ดอลลาร์/บาเรล ทำให้น้ำมันและสินแร่ยังเหมาะการลงทุน แม้ว่าช่วงนี้นักลงทุนจะเข้ามาไม่มาก เนื่องจากติดภาพจากปีก่อนที่ล็อกดาวน์ ราคาน้ำมันปรับลด ทำให้นักลงทุนยังไม่มั่นใจ ส่วนแก๊สธรรมชาติราคาปรับขึ้น 125% ซึ่งแพงเกินไป ซึ่งแนวโน้มอนาคตทางการอาจจะควบคุมราคา

 

นอกจากนี้บิทคอยน์ ยังคงติดเทรนด์เก็งกำไรในปีนี้ ซึ่งต้นปีราคาบิทคอยน์ปรับขึ้นมา 90% ราคาเพิ่มเกือบเท่าตัว แต่ระหว่างปีราคาจะบวกขึ้นถึง 120% หลังจากนั้นปรับตัวลงตลอด สะท้อนความผันผวนสูงมาก นักลงทุนต้องเตรียมใจว่า เงินลงทุน 100 บาทมีความเป็นไปได้สูงที่เงินลงทุนจะลดเหลือ 10-20 บาท เพราะฉะนั้นในมุมการลงทุนไม่น่าสนใจ ไม่คุ้ม

 

เทรนด์ตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้บิตคอยน์ยังเป็นสินทรัพย์เก็งกำไรในไตรมาส 4   แต่ความเสี่ยงหลัก อนาคตตลาดคาดการณ์ว่า ปี 2565 จะมีควอนตัม คอมพิวเตอร์ Quantum Computer หรือซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (เทคโนโลยีที่จะวิ่งทันบิทคอยน์) โดยปัจจุบันธุรกิจที่ฮิตคือ การทำฟาร์ม ปล่อยสภาพคล่องและได้ดอกเบี้ยจากการลงทุน

 

ส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนที่โดดเด่นช่วงนี้ คือ ดอลลาร์เทียบเงินบาท แข็งค่า 13% แนวโน้มดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงได้ไตรมาส 4 ขึ้นอยู่กับการเมือง แต่การเมืองสหรัฐจะกดดันดอลลาร์และกดดันตลาดเงินตลาดทุนด้วย จึงอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าไม่ชัดเจน เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งขายหุ้นมาลงในดอลลาร์

 

นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงไตรมาส 4 ราคาทองปรับลดลง 170 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่กองทุนใหญ่หันไปลงทุนน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนที่ราคาปรับเพิ่มค่อนข้างมาก ขณะที่ราคาทองคำยังผันผวนตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28,000 บาทต่อบาททองคำ

นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ

“กำลังซื้อในประเทศที่ลดลง จากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ต่อเนื่องมาถึงปัญหาโควิด-19 และขณะนี้มาเจอเรื่องน้ำท่วมอีก ทั้งๆที่ราคาทองคำลดลง แต่กำลังซื้อแผ่ว จึงทำให้ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี ราคาทองจะไม่ค่อยขยับ แต่จากต้นปีราคาทองลดลงจาก 1,900 เป็น 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำในประเทศ 28,100 บาท แนวโน้มช่วงที่เหลือ น่าจะเห็นการปรับลดลงได้อีก จึงเหมาะจะซื้อในช่วงสั้นๆ” นายจิตติกล่าว

 

หน้า 1   หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,721 วันที่ 10 - 13 ตุลาคม พ.ศ. 2564