สังคมยกระดับถ้าปรับคนให้เป็นมนุษย์ (2)

05 พ.ค. 2566 | 23:30 น.

สังคมยกระดับถ้าปรับคนให้เป็นมนุษย์ (2) : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรฐกิจ ฉบับ 3485

○ วงการลูกหนังระดับโลกเคยมีอาเพศนินทาลับสมอง ประลองเชาว์กันตรึมจนกลายเป็นตำนานอัปลักษณ์ชักเข้าชักออกว่า อามุน (อดีตผู้รักษาการ) เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแดนอินทรีมรกต “ไหน จี้ เลีย” ออกมาตีเกราะเคาะข่าวเล่ากฎคุยคดเคี้ยวหน้าตาเฉยว่า “เรารู้ดีว่ามักจะมีคนแอบติดต่อจ่ายเงินสินบน หรือ ให้ของมีค่าแก่กรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลหลายแมตช์ 

เราขอยืนยันว่า กรรมการเขามีสิทธิ์รับเงิน หรือ สินบนมาใช้ได้โดยไม่ผิดกฎระเบียบใดๆ ตราบใดที่เงินสินบนที่รับมามันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินในเกมการแข่งขัน!” (ฮา) ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า อามุน เป็น เลือดเนื้อเชื้อไขของ ศรีธนญชัย หรือเปล่า ที่แน่ใจไม่เปลี่ยนจุดคอมเมนต์ก็คือ “อามุน” เป็น “คน” มากกว่าที่จะเป็น “มนุษย์”

○ คนเอาใจใส่ตนเองเป็นหลัก ยกเว้น คนในก๊วนโดนตำรวจยิงเขาก็จะเสี่ยงเข้าไปช่วย ถ้าไม่ช่วยพาสหายหลบหนี ประเดี๋ยวโดนตำรวจจับมันจะคายความลับเกลี้ยง (ฮา) มนุษย์เขาจะห่วงใยผู้อื่นที่กำลังลำบาก ลูกใครก็ไม่รู้ร่วงจากเรือตกลงไปในสายน้ำที่เชี่ยวกราก ตัวเองอายุเยอะก็ ยังอุตส่าห์จะมีน้ำใจกระโดดลงไปช่วย 

เว้นแต่ ถ้าหลานไปก่อการร้ายวางระเบิดศาลพระพรหม คาดว่า คงจะข่มใจตัดหางปล่อยวัด เทหลานไปตามยถากรรม! เพราะมันมีเหตุผลทับซ้อนกันอยู่จนแทบจะแยกออกจากกันลำบาก เหตุผลแรก ลูกจะได้ใจเพราะเราให้ท้ายลูก เหตุผลที่สอง วันหน้าคงไม่กล้าบากหน้าไปขอหวยจากท่านพระพรหม (ฮา)

○ รุ่นน้องคนหนึ่งเป็นเด็กอาชีวะสายแบ๊ดบอย โดนตำรวจจับเข้าห้องขังหลังจากใช้มีดแทงคู่อริจนไส้ไหล ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายอหังการ์ ยืนตะโกนโวยวายอยู่ในห้องขังเสียงดังลั่นว่า “พ่อกูเป็นทหารยศพลตรีเว้ย เดี๋ยวก็รู้ว่าไผเป็นไผ” 

ช่วงสายในวันรุ่งขึ้น พ่อของเด็กอาชีวะสายแบ๊ดบอยสวมชุดทหารเดินขึ้นมาบนโรงพัก ก้าวเท้า ซ่วบ ซ่วบ ซ่วบ มายืนอยู่ตรงหน้าห้องขัง ท่านมองหน้าลูกตัวแสบแล้วกล่าวกระสุนทรพจน์เสียงดังว่า “มึงเข้าไปเองได้ มึงก็ออกมาเองก็แล้วกัน!” (ฮา) รุ่นน้องคนนี้เล่าให้ผมฟังว่า “เขาว่ากันว่า ม.รามคำแหง เข้าง่าย ออกยาก ผมว่า ห้องขัง นี่แหละ อาถรรพ์เยอะกว่า ม.รามคำแหง” (ฮา)

○ คติธรรม “คบคนเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น” หมายถึง “เราเชียร์คนเช่นไรเราก็จะเป็นคนเช่นนั้น” ลองอ่านเคสนี้แล้วคิดดูว่าจะหย่อนบัตรเลือก พรานป่า หรือ ท่านสีลวะ

เรื่องของเรื่องมีแง่มุมสุดอลังการอยู่ว่า “พรานป่า” ถิ่นพาราณสี เดินทางเข้าป่าหิมพานต์เพื่อหาของป่าและล่าสัตว์ ลัดเลาะหลงทางจนใจจึงร้องให้เพราะกลัวตาย 
พญาช้างร่างใหญ่มีนามว่า “สีลวะ” ผิวขาวผุดผ่อง งวง งาสวยงาม อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เดินผ่านมาพบจึงถาม พรานป่า จนรู้ว่าหลงป่า พญาช้าง อาสาพา พรานป่า ไปส่งในพื้นที่อันควร ก่อนจะจากกันไป พญาช้าง ขอให้ พรานป่า เก็บเรื่องที่ได้เจอกับพญาช้างไว้เป็นความลับ พรานป่า พยักหน้ารับปาก

                         สังคมยกระดับถ้าปรับคนให้เป็นมนุษย์ (2)

หลังจากกลับถึงถิ่น พรานป่า แวะถามคนที่ขายงาช้างว่าอยากได้งาของช้างเป็นๆ ไหม พ่อค้าตาลุกวาว เมื่อตกลงราคากันได้ก็จัดเตรียมเลื่อยเหล็กพร้อมเสบียง แล้วหวนกลับไปตามทางที่พญาช้างพามาส่ง พญาช้าง ถามว่า ทำไมถึงกลับมาอีก พรานป่า ตีหน้าเศร้าเล่าสตรอเบอรี่ว่า “ไม่มีเงินเลี้ยงปากท้องไม่มีญาติพี่น้องให้พึ่ง ข้าจึงมาขอตัดงาของท่านเอาไปขายยังชีพ” 

พญาช้าง เห็นใจก็ยอมให้ พรานป่า ตัดงาส่วนปลาย ก่อนจะให้งา พญาช้าง เอางาที่โดนตัด มาชูขึ้นฟ้าตั้งจิตอธิษฐาน “ด้วยอานิสงส์นี้ ขอให้ข้าจงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ” ปรากฏว่า พราน(สันดาน)ป่า ไปแล้วก็วกกลับมาขอตัดงาเพิ่มอีกสองครั้ง พญาช้าง ก็ยอมทนความเจ็บปวด

ปรากฏว่า ระหว่างทางที่จะนำไปขาย แผ่นดินก็แยกออกแล้วสูบเขาลงไปในเปลวไฟแห่งอเวจี เพราะความจริงแล้วเทวดาได้เฝ้าดูพฤติกรรมของพรานป่ามาตลอด
พราน(สันดาน)ป่า คิดแต่จะเอา “ท่านสีลวะ” พระโพธิสัตว์คิดแต่จะให้ เห็นชัดว่า คนอกตัญญูเช่นนั้น ให้เป็นใหญ่ ได้ครองทั้งแผ่นดิน ก็คงจะโลภไม่รู้จบ

○ ด้วยความที่ “คน” ยังมีจิตใจร้ายกาจมากกว่า “มนุษย์” เขาจึงไล่ล่าเข่นฆ่าปลาโลมา ไม่ทำร้ายคน แถมเป็น บอดี้การ์ดสัตว์อาสา กล้าปะทะกับฉลามเพื่อห้ามไม่ให้ทำร้ายคน เขาแสดงตัวตนเป็นมิตรมาโดยตลอด

คนปล่อยใจให้มืดบอดจนเกิดหลุมดำ “กิเลสฮุบราคา” ก้าวข้ามคุณค่าไมตรีจิตปลิดชีวิตโลมาผู้มีน้ำใจได้ลงคอ สังคมโลกจึงไม่รีรอที่จะตัดพ้อว่า “คนเป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก”

○ เฮนรี วอร์ด บีเชอร์ ชี้ว่า “คนที่ไม่มีอารมณ์ขันก็เหมือนเกวียนที่ไม่มีสปริง” ผมติดสอยห้อยโหนตามท่านบ้างว่า “ไก่ที่มีอารมณ์ขันก็เหมือนนาฬิกาที่เข็มยังคงกระดิก!” (อัยยะ)

○ คน เป็น นักล่าเหยื่อ มนุษย์ เป็น ผู้กินเนื้อสัตว์โดยไม่บาป ด้วยการ หนึ่ง ไม่ฆ่าเอง สอง ไม่สั่งให้ใครฆ่า สาม เป็น ผู้รับเหยื่อนั้นโดยข่มใจไว้ว่าอย่าได้ยินดี ไม่ปฏิเสธว่าการระมัดระวังทั้งสามแบบเข้าข่ายเห็นแก่ตัวแ ต่ก็เป็นการเห็นแก่ตัวที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำให้ผู้อื่นเสียหาย หากคน เลิกล่าเหยื่อที่มีชีวิต มนุษย์ ก็พร้อมที่จะกินผักกินเผือก! (ว้าว)

○ ดร.ผาณิต กันตามระ ท่านแผ่เมตตาก่อนจะกิน ผมก็ถามว่า “พระท่านฉันก่อนแผ่เมตตา ทำไม พี่ติ๋ม ถึงแผ่เมตตาก่อนจะกิน” ท่านก็บอกว่า “ถ้าเธอไปแวะทานขนมจีนตรงริมฟุตบาท นั่งกินสักครู่ ก็โดนรถสไลด์พุ่งมาชน เธอลงไปนอนแผ่ แล้วเธอจะได้แผ่เมตตาไหมล่ะ” (ฮา)