ไม่รู้เรื่องการตลาดชาติและหมู่ชนจะอับเฉา ฉากที่ 19

14 เม.ย. 2566 | 23:30 น.

ไม่รู้เรื่องการตลาดชาติและหมู่ชนจะอับเฉา ฉากที่ 19 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3879

ผมเล่ามุกทอล์คโชว์ให้แฟนคลับฟังในรายการแซววาที เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ว่า มีอาจารย์กุลสตรีสาวโสดท่านหนึ่งถามว่า “มัจฉา แปลว่า อะไร” ผมตอบตามคำราว่า “มัจฉา แปลว่า ปลา ครับ” ท่านก็ถามต่อเนื่องอย่างมีเลศนัยว่า “มัจฉาฉา คือ อะไร?” ผมคิดแว้บเดียวแล้วตอบว่า “ปลาฝาแฝด!” ครูผันตัวตนเปลี๊ยนไป๋จาก กุลสตรี กลายเป็น กุลสตรี แชปปลิ้นท์ (ฮา) ท่านเฉลยว่า “ผิดค่ะ มัจฉาฉา คือ หมาชัดๆ ค่า!” (ฮา)

ยังคงมีคนถามผมอยู่บ่อยครั้งว่า  “อุตส่าห์เรียนกฎหมาย พูดจาก็น่าเชื่อถือ ทำไมถึงไม่เป็นทนาย?” ถึงแม้ว่าจะต้องเล่าแบบแผ่นเสียงตกร่อง ก็ยินดีอธิบายให้ฟังว่า ในช่วงที่เรียนปี 3 เข้าไปฟังอาจารย์เลคเชอร์วิชาการว่าความ ฟังอยู่ไม่กี่นาทีชักจะรู้สึกว่า ท่าทางจะไม่ได้ความ

ท่านตีแผ่ความเห็นว่า “คิดจะเป็นทนาย อย่าว่าความโง่ๆ พูดความจริงตรงไปตรงมา ไม่มีวันจะชนะคดีหรอก!” ว่าแล้ว ท่านก็เริ่มสอน เล่ห์เหลี่ยมในการโกหกต่อหน้าศาล สตรอเบอรี่รูปคดีกันเป็นขั้นเป็นตอน นี่ก็จัดอันดับได้เลยว่า เข้าข่าย ฉุดสั้วสั้ว (คริคริ)

มี คดีมัจฉาฉา อยู่เรื่องหนึ่ง เหตุเกิดนอกบ้านในพื้นที่บ้านนอก นายฮัดเชี่ยเชี่ย หิ้วตะเกียงรั้วเดินไปตีหัว นายซัดชวยชวย ด้วยไม้ตะพดในช่วงห้าโมงเย็น การเขียนคำฟ้องจะได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับข้อมูลซึ่งเกิดขึ้นจริง ถ้าสืบข้อมูลมามั่วๆ เหมือนการทำโพลบางจ๊อบที่ได้ขอมูลผิดๆ ถูกๆ หรือ คิดเอาเองเพราะขี้เกียจติดต่อสอบถาม มันก็จะไร้ประโยชน์ 

ทนายมือใหม่ คดีมัจฉาฉา จับความได้ลวกๆ ว่า การหิ้วตะเกียงรั้วเดินไปตีหัวต้องเป็นเวลาค่ำแน่เลย จึงเขียนคำฟ้องว่า นายฮัดเชี่ยเชี่ย หิ้วตะเกียงรั้วเดินไปตีหัว นายซัดชวยชวย ใน เวลาค่ำ! เวลาค่ำ คือ เวลากลางคืน นับจาก หกโมงเย็นจนถึงหกโมงเช้า หรือ นับห้วงเวลาจาก ฟ้ามืดไปจนถึงฟ้าสว่าง 

สมัยนั้น หลักคู่มือกฎหมาย หรือ ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มีหลักการวางกรอบไว้ข้อหนึ่งว่า ถ้าผู้ใดหยิบยกข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมากล่าวอ้าง หากฝ่ายตรงกันข้ามสามารถพิสูจน์ได้ว่า คำกล่าวอ้างนั้นไม่เป็นความจริง ย่อมมีผลต่อการยกฟ้อง

ปรากฏว่า นายฮัดเชี่ยเชี่ย เขาเอ่ยอ้างว่า ในเวลาค่ำ ตั้งแต่หกโมงเย็นเป็นค้นไป เขาร่วมวงดื่มสุราอยู่กับกำนัน แล้วจะแบ่งภาคออกไปทำร้ายใครได้อย่างไร กำนันท่านเป็นพยานยืนยันว่าจริง น่าเห็นใจทั้ง โจทย์ ที่ซวยฟรี และ ท่านผู้พิพากษา ตรงที่ ไม่มีอำนาจสืบค้นเพิ่มเติม คดีก็ยกฟ้องตามฟอร์ม

                     ไม่รู้เรื่องการตลาดชาติและหมู่ชนจะอับเฉา ฉากที่ 19

ผมเคยสมัครเป็นพนักงานขายแอร์คอนดิชั่น วันนัดฟังการปฐมนิเทศน์ ผู้จัดการฝ่ายขาย พูดชี้นำอยู่ตอนหนึ่งว่า “เวลาไปขายแอร์กับลูกค้า เราอย่าบอกลูกค้านะว่า แอร์รุ่นนี้มันกินไฟตกเดือนละ 500 บาท ลูกค้าตกใจเขาก็ไม่ซื้อ ถ้าเขาถามก็บอกเขาไปว่า แอร์มันกินไฟ เดือนละ 200 บาท!” 

ผู้ฟังทานหนึ่งถามว่า “ทำไมเราไม่บอกความจริงเขาไปแบบตรงไปตรงมาล่ะครับ?” สีหน้าท่าทาง ผู้จัดการฝ่ายขาย ดูจะขี้หงุดหงิด ท่านตอบสวนกลับมาด้วยอาการรำคาญใจว่า “คุณไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก คนถ้ามีเงินซื้อแอร์ราคาแพงได้เขาก็มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าไฟได้!” นี่ก็จัดเรตติ้งได้เช่นกันว่า เข้าข่าย ฮัดฉ่วยฉ่วย (อิอิ)

กาลครั้งหนึ่งนานนิดหน่อย การดีเบตหาเสียงทางโทรทัศน์ของประเทศจ้าวโลก มีเล่ห์เหลี่ยมสกปรกเกิดขึ้นผ่านหน้าจอโทรทัศน์ แคนดิเดตรุ่นใหม่ รู้ใต๋สุขภาพของ แคนดิเดตรุ่นมุ้งมิ้ง ว่า เป็นคนขี้ร้อน การดีเบตประชันกัน มีรายงานว่า ทีมงานของ แคนดิเดต รุ่นใหม่ แอบปรับอุณหภูมิในสตูดิโอทีวีให้ร้อนกว่าปกติ 

ไม่กี่อึดใจ แคนดิเดตรุ่นมุ้งมิ้ง เริ่มมีเหงื่อออกง่ายหลายหยดรดหน้าแฉะหลังต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าบ่อยๆ ต่อหน้าผู้ชมทีวีทั่วแว่นแคว้น ความสง่าหายไป ความรำคาญใจมันรบกวนสติ โต้ผิด แย้งพลาด คะแนนเสียงตกวูบ ถึงแม้จะไม่ได้แกงไม่ได้ฆ่าก็สามารถหยั่งราคาได้ว่า คนที่ตั้งใจก่อกวน เข้าข่าย ลัดเชวเชว (หุหุ)

ดูเหมือนว่า สิงคโปร์ จะเป็น ประเทศจิ๋วแต่แจ๋ว นานาปัญญาชนเอามาเทียบชั้นกับไทยว่าเมืองเรายังเป็น กะลาแลนด์  ยังไม่รวย ยังไม่ทันสมัย จัดการอะไรก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง การศึกษายังไม่ทันสมัยผู้นำก็โง่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีคลิปชี้ชวนชัดเจนดุจเล่นสปอตยั่วตลาดการเมืองลากเสียงย้ำว่า

“การเลือกผู้นำประเทศ ไม่จำเป็นจะต้องเลือก คนดี (อีอีอีอีอี…) เราควรจะเลือกคนเก่ง (เอ่งอ่งเอ่งเอ่งเอ่ง…) ถ้าระบบมันดีทุกอย่างมันก็จะดีเอง!” มีบุคคลอีกท่านหนึ่งที่ชอบสิงคโปร์  ไอเดียของเขาเราจะรับได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ท่านนี้เขาพูดย้ำตรงไปตรงมาแถมพูดตรงกันข้ามด้วยว่า

“ผมเชื่อในเรื่อง การนำคนดีมาดำรงตำแหน่ง ถึงแม้ระบบจะไม่ดี ห่วยสุดๆ หากนำคนดีมาดำรงอยู่ก็สามารถสร้างระบบที่ดีได้ ถึงจะระบบที่ดีแต่เอาคนไม่ดีมาดำรงตำแหน่ง ระบบก็จะพังพินาศไป ระบบเผด็จการ ถ้าได้ผู้นำที่ดี ประเทศชาติก็เจริญก้าวหน้าได้มากกว่าระบอบประชาธิปไตยที่ได้ผู้นำเลว!”

บุคคลสำคัญผู้กล่าววาทกรรมนี้ คือ ท่าน ลี กวน ยู
หากสงสัยว่าผมหมายถึงใคร ไม่ต้องร้อนใจว่า หมายถึง ไทยแลนด์ แต่เพียงแดนเดียว ลองเหลียวไปดูเมืองนอกสิว่า “สินค้าตราประชาธิปไตย” ในร้านต้นฉบับ เขา “ยับ” หรือว่า “เรียบ”