ไม่รู้เรื่องการตลาดชาติและหมู่ชนจะอับเฉา ฉากที่ 20

21 เม.ย. 2566 | 23:00 น.

ไม่รู้เรื่องการตลาดชาติและหมู่ชนจะอับเฉา ฉากที่ 20 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3881

15 ปีที่แล้ว รุ่นน้องน่ารัก เขาไปเรียน ป.โท ที่ ม.นิด้า แล้วเขาก็โทรมาเล่า “ยุคในการประกอบการ” ให้ผมฟังว่า “อาจารย์เขาเล่าทบทวนให้นักศึกษาฟังว่า การทำมาหากินของสังคมโลกวันนี้ (เมื่อ 15 ปีก่อน) ก้าวมาไกลถึง ยุคที่ 5 แล้วนะ ยุคที่ 1 มุ่งเน้น การผลิต ยุคที่ 2 มุ่งเน้น การขาย ยุคที่ 3 มุ่งเน้น การตลาด ยุคที่ 4 มุ่งเน้น การผูกสัมพันธ์ ยุคที่ 5 มุ่งเน้น การร่วมมือ เรื่องนี้พี่มีความเห็นว่าไงไหมคะ” ผมเริ่มคล้อยตามแต่ยังไม่เคลิ้มตาม (ฮา)

ผมคุยต่อยอดบอกเธอไปว่า “(เมื่อปีนู้น) ตามที่อาจารย์เล่ามา ผมว่าเราน่าจะอยู่ปลายยุคที่ 5 ว่าด้วย มุ่งเน้น การร่วมมือ แล้วมั้ง!” เธอถามผมว่า  “พี่ประเมินจากอะไร?” ผมก็ยกตัวอย่างแจงให้ฟังโดยย่อว่า “ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว เขาจะตั้งบูธอยู่ใกล้อยู่ไกลแค่ไหนก็พึ่งกันได้หมด บูธปากซอย 20 หมูแดงหมดเกลี้ยงตู้ เขาซิ่งไปขอแบ่งมาจากบูธปากซอย 40 บูธปากซอย 40 ลูกชิ้นไม่พอขาย เขาก็ซิ่งไปขอแบ่งมาจากบูธปากซอย 20 

ในทำนองเดียวกัน ถ้า บริษัทเก่ง หรือ บริษัทเฮง เขาผลิตสินค้าไม่ทัน เขาก็จะแบ่งกำลังกันไปช่วยผลิตให้เป็นกรณีพิเศษ การจัดตั้ง คลัสเตอร์ เพิ่ม เครือข่าย ขยายฐานสานแนวร่วม ก็ทำกันอยู่ ผมว่า (เมื่อปีนู้น) เราเริ่มเคลื่อนเข้าสู่ ยุคที่ 6 มุ่งเน้น รักษ์สิ่งแวดล้อม แล้วแหละ!” 

ผมคุยข้ามช็อตฝากไว้กับเธอด้วยว่า “ในยุคที่ 7 คาดว่า ธรรมาภิบาล ที่งอกเงยอยู่แล้วน่าจะสะพรั่งมากขึ้นกว่าเก่า ไม่ช้าไม่นาน ในยุคที่ 8 โลกจะปลุกเจ้าสัว ให้ ผดุงสังคม เป็นไปได้ว่า ในยุคที่ 9 องค์การธุรกิจจะสนใจประกอบการโดยไม่หวังผลกำไรมากขึ้น” คุยกันพอหอมปากหอมคอก็ร่ำลาวางสายกันไป

ผู้จัดการซอฟต์แวร์ กับ ผู้จัดการฮาร์ดแวร์ และ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ปรึกษากันในที่ประชุม เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ ซึ่งมีปัญหาว่ามักจะระเบิดตอนคนขับขยับตัวลงจากรถ 

ผู้จัดการฝ่ายซอฟต์แวร์ แจงว่า “เรามีปัญหาชิ้นส่วนของฮาร์ดแวร์ 25%”

ผู้จัดการฝ่ายฮาร์ดแวร์  บอกว่า “เราคงจะใช้เวลาตรวจสอบราวสองสัปดาห์”
 

ผู้จัดการฝ่ายการตลาด สรุปว่า คุณภาพผลิตภัณฑ์บริษัทเราดีกว่าเดิมตั้งเยอะ เชื่อถือได้ถึง 75% จัดว่า โอ.เค. นะ ออเดอร์รออยู่เยอะ พนักงานขายรอคอมมิชชั่นกันจนร้อนในแล้วแหละ วันนี้เอามันแบบนี้ไปก่อน มัวแต่เช็คว่าล้อยางรถคันไหนมีปัญหา ลูกค้าเขาก็แห่กันไปโชว์รูมอื่นเกลี้ยงแล้ว เอางี้ดีไหมล่ะ…ลูกค้ามาถอยรถ เรามอบพระเครื่องให้ไปคันละองค์ คันไหนมีปัญหาเดี๋ยวเขาก็คุยกันเองว่า สงสัยบุญไม่พอ!” (ฮา)

                       ไม่รู้เรื่องการตลาดชาติและหมู่ชนจะอับเฉา ฉากที่ 20

มุกนี้ชี้ให้คิดว่า ชอบคนก็ชอบของ ชอบของก็ชอบคน ถ้าคนไม่ดีขายของไม่ดีต้องเรียกว่า ตลาดซาตาน จะเห็นได้ว่า วันที่คนโดนโควิดรุมโทรม ลูกค้าโดนออนไลน์ลักหลับ ขายของกันแบบลักไก่ ฝันที่คิดว่าสังคมจะพลิกโฉมสู่ศิวิไลซ์กลับพลิกคว่ำย้อนสู่ ยุคที่ 2 นักขายกลายเป็นศรีธนญชัย ขัดกระแส ยุคที่ 3+4

ผมใช้บริการแท็กซี่เป็นว่าเล่น นายหัวคนหนึ่งรำพึงกับผมว่า “ผมเบื่อลูกค้าจริงๆ แต่ละคนขึ้นมานั่งแบบเอาแต่ใจ กะว่าจะเลิกขับ เปิดร้านขายลูกชิ้นปิ้งยืนกินดีกว่า” ผมบอกเขาว่า “อย่าคิดว่าหลบมุมไปขายลูกชิ้นปิ้งแล้วจะไม่เจอคนเอาแต่ใจ” นายหัวถามว่า “ใครจะมากวนอีกล่ะ”

ผมตอบไปว่า “คนที่เคยขึ้นรถคุณนั่นแหละ บ้านเขาคงอยู่ไม้ใกล้ไม่ไกล แต่คุณไม่รู้จัก เขาผ่านมาซื้อนั่นซื้อนี่ คุณมัวก้มหน้าก้มตาปิ้งลูกชิ้น เงยขึ้นมาเขาก็มายืนรอซื้ออยู่หน้าร้านพอดี ถ้าเขารอนานก็คงจะแซวเอาว่า หนูว่าพี่ต้องเขียนป้ายติดไว้เลยว่า ลูกชิ้นชาติหน้า รอหน่อย  อร่อยปัง!” (ฮา)

มุกนี้ชี้ให้นึกว่า ใคร่ครวญเสียให้ดีก่อนจึงทำ ไม่เช่นนั้นก็จะเสียแนวร่วม ขัดกระแส ยุคที่ 5

ยุคที่ 7 ธรรมาภิบาล คือ เขี่ยข้าราชการตุกติกทิ้ง ยุคที่ 8 การผดุงสังคม กลายเป็นทุกขลาภ เพราะมี “ผีห่าซาตาน” เข้ามาแย่งซีน “ผี” คือ นักล่อลวง “ห่า” คือ โควิด “ซาตาน” คือ นักทำลายความสงบสุข 

คนโบราณถึงได้สอนเราไว้ว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ ว่าแล้วก็นึกถึงตลกร้ายที่เขียนไว้ในห้องส้วมว่า “ผู้ที่โดน เด็ก กับ ผู้สูงวัย ข่มขืน เพราะคิดแคบว่า คนสองวัยไม่มีน้ำยา” (ฮา)

คำคมของท่าน มิทช์ เฮดเบิร์ก รำพึงไว้น่าสนใจว่า “ฉันเบื่อที่จะทำตามความฝันแล้ว ฉันแค่จะถามว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหนและค่อยคุยกันทีหลัง” (ฮา) ผมก็ตั้งท่าจะวางมือเหมือนกัน จับพลัดจับผลูเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว วัดโพธิ์ทอง เชิญผมไปบรรยายถวายความรู้สามเณร ท่านหลวงพ่อวราห์ จะจำได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ผมเพิ่งเจอท่านครั้งแรก ท่านให้ พญาครุฑขนาดพกพา แล้วบอกผมว่า “ช่วยดูแลบ้านเมืองด้วยนะ!”

ผมไฮเปอร์ชอบแอ่นอกยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่แล้ว จึงขานรับโดยไม่ลังเล เคยมีคนเป่าหูผมว่า “การแต่งงาน คือ การเดินเหยียบถ่านไฟด้วยเท้าเปล่า!” (ฮา) ใครที่นิยมอาสางานเมืองควรจะซื้อยากันท่าเหาไว้ให้พร้อม (ฮิ้ว)

ไหนๆ ก็ไหนๆ วี่แววเมืองไทยกำลังจะกลายเป็นแดนการตลาดปาดหน้าเค้กหลายแผ่นดิน แผนพัฒนาเศรษฐกิจเขาปักหมุดกันแล้ว เกษตรแปรรูปมูลค่าสูง การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพ ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก การแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง ประตูการค้าการลงทุนและโลจิสติก รวมทั้ง อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และ SMEs ที่มีศักยภาพสูง 

ถ้านักการตลาดการเมือง ไม่ติดเชื้อ “ผีห่าซาตาน” อีกไม่นานบ้านเราคงจะลบคำตัดพ้อที่ว่า “ผมเป็นนักขายเฟอร์นิเจอร์ โกดังที่จัดเก็บสินค้ามีอยู่สามชั้น มันคือบ้านของผมเอง” (ฮา)