องค์การสหประชาชาติ (UN) รายงานเมื่อปี 2018 อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยน่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.5 องศาเซลเซียสในช่วงระหว่างปี 2030-2052 หากยังมีการปล่อย "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์" เพิ่มขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจากหลายประเทศเข้าร่วมประชุมที่จัดขึ้นที่ปารีสเพื่อลงความเห็นว่าต้องพยายามรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มมากไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส จากเป้าหมาย 2 องศาเซลเซียส เพื่อหลีกเลี่ยง "หายนะจากสภาพอากาศ"
เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Climate Change หรือ โลกร้อน Global Warming หมายถึงอุณภูมิเฉลี่ยของโลกที่สูงขึ้นกว่า 1.1 องศาเซลเซียส จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างบ้าคลั่ง
แน่นอนว่าการปล่อย “ก๊าซเรือนกระจก” Greenhouse Gas ที่มีส่วนประกอบของสารต่างๆประมาณ 7-8 ชนิด แต่ที่มีผลมากที่สุดก็คือ คาร์บอนไดออกไซค์ 75% มีเทน 16 % ไนตรัสออกไซค์ 16 % เป็นสาเหตุสำคัญ
หากเราไม่สามารถยับยั้งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ผลกระทบที่เกิดต่อโลกจะรุนแรงแค่ไหน และจะเป็นอย่างไรหากอุณหภูมิโลกเพิ่มไปถึงระดับ 2 องศาเซลเซียส หรือมากกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม
“ชวลิต จันทรรัตน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทีมกรุ๊ป บรรยายให้เห็นภาพว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ น้ำแข็งละลาย น้ำทะเลอุ่น เป็นกรดมากขึ้น สิ่งมีชีวิตจะลำบาก คลื่นความร้อนเกิดขึ้นบ่อย เกิดไฟป่าสูงขึ้น ฝนตกหนัก ความแห้งแล้งจะเพิ่มขึ้น
“ระดับน้ำทะเลปานกลางสูงปีละ 3.3 มิลลิเมตร 10 ปีจะขึ้น 3 เซ็นติเมตร 100 ปี 30 เซ็นติเมตร ถ้าเราปล่อยให้อุณภูมิโลกเฉลี่ยขึ้นมา 1.5 องศา ในปี 2100 ก็คือ 79 ปีข้างหน้าระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 60 เซ็นติเมตร ฝนมากขึ้น 10 % ตอนนี้ในบ้านเราก็มีเรื่องน้ำทะเลหนุนสูงแล้ว ที่ต้องเฝ้าระวังคือ กทม.และปริมลฑล โดยเฉพาะพื้นที่ปากแม่น้ำ”
ที่ถือว่าสำคัญมากและมีความเสี่ยงทางธุรกิจ ก็คือเรื่อง “กำแพงคาร์บอน” เพราะกลุ่มการค้าสำคัญของโลกจะเริ่มพิจารณาออกกฎบังคับให้สินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ว่าต้องมีการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิในปริมาณที่ต่ำ หรือ "คาร์บอนฟุตพริ้นท์"
ซึ่งหมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย ตลอดกระบวนการผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การหาวัตถุดิบ ขนส่ง ประกอบชิ้นส่วน การใช้งาน และการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้งาน โดยคำนวณออกมาในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ผลิตภัณฑ์มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่
หลายประเทศเริ่มมีการนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาใช้กันแล้ว ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลี ฯลฯ เพราะการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
“ทั้งอเมริกาและยุโรปตั้งกำแพงเรื่องสินค้าที่จะส่งเข้าไป เห็นแววว่าสินค้าที่เราทำส่งไป โดยเฉพาะอาหาร อุปกรณ์ไอที รถยนต์ จะต้องถูกวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ถ้าไม่เร่งหาแนวทางจะทำให้เสียตลาดให้ประเทศอื่น โดยเฉพาะในช่วงปี 2593 ช่วงนี้อีก 30 ปี เราอาจจะโดนกำแพงคาร์บอน ภาคธุรกิจโดยเฉพาะการส่งออกจะต้องตื่นตัวให้มากกว่านี้ เพราะเท่าที่เห็นยังถือว่าน้อยมาก”
เมื่อกางแผนยุทธศาสตร์ "การปล่อยก๊าซเรือนกระจก" ของบ้านเรา พบว่ามีแผนที่จะทำตามเป้าหมายตั้งแต่ปี 2018 และเริ่มพูดถึงการอยู่ร่วมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในปี 2019 โดยมีการจัดส่งแผนดังกล่าวเพื่อ "การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์" ซึ่งได้ปิดฉากลงเมื่อวันที่ 13 พ.ย. มีการบรรลุข้อตกลงเพื่อควบคุมปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการผลักดันให้ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
ในปี 2021 ไทยเริ่มจัดทำแผนยุทธศาตร์ มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเหลือศูนย์ และให้มีก๊าซคาร์บอนได้สมดุลภายในศตวรรษนี้ โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ด้วยการ ลดคาร์บอน ใช้ระบบดิจิตอล กระจายปฎิบัติสู่ท้องถิ่น ปรับกฎหมาย และเพิ่มการมีไฟฟ้าใช้
เป้าหมายในปี 2030 เป็นเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 20-25% และลดให้ได้ 40% มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่าเราจะทำได้ไหม ???
“จะได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่มาตรการที่จะทำ สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ก็คงเป็นเรื่องการใช้รถ EV ในปี 2035 รถที่ผลิตในไทย 70% จะเป็นรถไฟฟ้า ตั้งแตปีนี้มีการสนับสนุนการผลิตรถไฟฟ้า สถานีชาร์จไฟ จะทำให้สิ่งที่ไปรับปากกับนานาปรเทศว่าจะลดก๊าซเรือนกระจก 1ใน 4 เป็นไปได้ อีกเรื่องคือการพยายามใช้พลังงานโซลาเซลล์มากขึ้น การประหยัดการใช้ น้ำ ไฟ เพราะเวลาประหยัดไฟคือประหยัดการปล่อยการใช้ถ่านหิน ประหยัดน้ำคือประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้า อีกเรื่องที่สำคัญมากคือก๊าซมีเทนที่มาจากการหมักหมม ฝั่งกลบขยะ เราต้องลดขยะ แยกขยะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีมกรุ๊ป กล่าว
แต่ทว่าก็ยังมีแผนที่จะดูว่าจะก้าวช้าอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือปี 2037 ไทยจะเดินหน้ารักษาและเพิ่มป่าไม้เศรษฐกิจ ลดการเผาวัสดุการเกษตร รวมแล้วหากทำได้จะลดก๊าซเรือนกระจกได้ 120 เมกกะตัน ส่วนแผนที่ยากก็คือ ปี 2050 มีสมดุลของคาร์บอน โดยใช้ไฟฟ้าพลังหมุนเวียน 50% ของกำลังผลิตโรงงานใหม่ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานอุตสาหกรรมการเกษตร ขยะ การใช้ที่ดินและป่าไม้
“แผนสุดท้ายในปี 2065 ตามความคาดหวังเรารับปากที่ประชุม COP26 ว่าจะลดคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ซึ่งการไปถึงตรงนั้น นายกฯ ก็บอกว่าต้องได้รับการร่วมมือจากนานาชาติ สนับสนุนเทคโนโลยี และการฝึกอบรมคนของเรา ก็ต้องติดตามดูว่าแผนต่างๆ จะทำได้จริงไหม แต่ที่สำคัญคือทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน”