ติ่งเนื้อ คืออะไร อันตรายหรือไม่ ทำไมชอบเป็นเมื่ออายุมากขึ้น   

01 ก.ค. 2566 | 17:10 น.

สังเกตไหมว่า เมื่อเป็นผู้ใหญ่อายุมากขึ้น ก็มักจะมี “ติ่งเนื้อ” เล็กๆ ขึ้นมาตามคอ หลัง หรือช่วงบ่า ปรากฏขึ้นมากมาย ทั้งๆ ที่สมัยวัยรุ่นไม่เคยเห็น ติ่งเนื้อพวกนี้มาจากไหน อันตรายหรือไม่ ถ้าไม่อยากเอาไว้ มีวิธีกำจัด-รักษาหรือเปล่า

 

ติ่งเนื้อผิวหนัง หรือ ติ่งเนื้อ (Acrochordon หรือ Skin tag) คือ ก้อนเนื้อเล็กๆ นิ่มๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง มีสีและขนาดที่แตกต่างกัน มักจะเกิดเมื่อมีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 30-60 ปีขึ้นไป เป็นได้ทั้งในเพศชายและหญิง โดยสามารถพบได้ตามข้อพับ ใบหน้า ตามลำตัว หรือบริเวณผิวหนังที่ย่นทับกัน เช่น คอ รักแร้ เปลือกตา มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่

ติ่งเนื้อ เป็นเนื้องอกชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่มะเร็ง ส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายใดๆ ปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งที่ทำให้เป็นติ่งเนื้อได้มากขึ้น คืออายุ และน้ำหนักตัว ที่เพิ่มขึ้น และพบได้บ่อยประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วไป

ลักษณะและอาการของติ่งเนื้อ

ติ่งเนื้อที่เพิ่งขึ้นบนผิวหนัง จะเป็นก้อนเนื้อนุ่มมีขนาดเล็กนูนขึ้น และยื่นออกมาเป็นติ่ง และจะค่อย ๆ กลายเป็นสีเดียวกับผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดใด ๆ แต่อาจรู้สึกระคายเคืองบ้างหากเสียดสีกับเสื้อผ้า หรือถ้าก้านที่ยึดติ่งเนื้อถูกบิด อาจเกิดลิ่มเลือดภายในติ่งเนื้อและรู้สึกเจ็บได้

โดยปกติแล้ว ติ่งเนื้อไม่เป็นอันตราย และไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นมะเร็ง

โดยปกติแล้ว ติ่งเนื้อไม่เป็นอันตราย และไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกว่าติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่เกินไป หรือโตเร็วผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าเป็นติ่งเนื้อธรรมดา หรือเป็น “เนื้องอกที่เป็นอันตราย” โดยหากติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่เกินไป แพทย์อาจจะทำการตัดติ่งเนื้อออกเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากยิ่งมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ก็จะเสียดสีเวลาใส่เสื้อผ้าทำให้รู้สึกเจ็บจนอาจเกิดแผลขึ้นได้ 

ติ่งเนื้อที่พบได้บ่อยในวัยผู้ใหญ่ มักเกิดขึ้นตามลำคอ แม้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่บางคนอาจรู้สึกว่าติ่งเนื้อที่คอทำให้ผิวหนังดูไม่เรียบเนียนสวยงาม และเกิดความไม่มั่นใจตามมา

ความแตกต่างจากไฝ (mole) และหูด (wart)

ติ่งเนื้อจะนูนขึ้นมาจากผิวหนังและเมื่อสัมผัสจะรู้สึกนุ่ม ต่างจากไฝที่มักเป็นทรงแบน และต่างจากหูดที่มักแข็งหรือขรุขระ แม้ว่าโดยปกติติ่งเนื้อจะไม่มีอาการใด ๆ แต่การเสียดสีกับผิวหนัง เสื้อผ้า หรือเครื่องประดับ ก็อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือเกิดเลือดออกได้

สาเหตุการเกิดติ่งเนื้อ

ติ่งเนื้อ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตเซลล์พิเศษขึ้นในผิวหนังชั้นบนสุด กลไกการเกิดโรคติ่งเนื้อผิวหนัง ยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจน แต่มักพบติ่งเนื้อเกิดในบริเวณที่ผิวหนังมีการเสียดสีต่อเนื่องกับผิวหนังด้วยกัน (เช่น ผิวหนังส่วนที่มีรอยย่นต่างๆ) หรือกับเสื้อ ผ้า เครื่องประดับ (เช่น ที่ลำคอ)

นอกจากนี้ การศึกษาทางสถิติยังพบว่า โรคติ่งเนื้อผิวหนัง มีความสัมพันธ์กับ...

  • ความอ้วน ผู้ที่ประสบภาวะอ้วน จะป่วยเป็นโรคผิวหนังช้าง (Acanthosis Nigricans) โดยโรคนี้จะเกิดติ่งเนื้อจำนวนมากตามผิวหนังบริเวณคอและรักแร้
  • ภาวะดื้ออินซูลิน ภาวะนี้คือภาวะที่นำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะน้ำตาลผิดปกติ (Prediabetes) โดยภาวะดื้ออินซูลินอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อ เนื่องจากร่างกายดูดซึมน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดได้ไม่ดี ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่าติ่งเนื้อเกี่ยวเนื่องกับดัชนีมวลกายที่มาก ภาวะไตรกลีเซอร์ไรด์สูง และภาวะดื้ออินซูลิน
  • โรคไขมันในเลือดสูง และโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
  • การตั้งครรภ์ โดยอาจเกิดจากความไม่สมดุลของระดับฮอร์โมนในร่างกายในระหว่างการตั้งครรภ์
  • คนในครอบครัวมีติ่งเนื้อ อาจเกิดการถ่ายทอดลักษณะเหล่านี้ทางพันธุกรรม

หากคนในครอบครัวมีติ่งเนื้อ อาจเกิดการถ่ายทอดลักษณะเหล่านี้ทางพันธุกรรม

การกำจัดติ่งเนื้อไม่ยาก สามารถทำได้เอง

มีวิธีพื้นบ้านที่สามารถกำจัดติ่งเนื้อได้ ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้

  • ใช้กระเทียม นำมาบดแล้วทาบริเวณที่เกิดติ่งเนื้อให้ทั่ว จากนั้นปิดผ้าพันแผลทิ้งไว้ 1 คืน และล้างออกในตอนเช้า ทำซ้ำจนกว่าติ่งเนื้อจะหายไป
  • น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ (Apple cider vinegar) นำสำลีชุบน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์มาแปะบริเวณที่เกิดติ่งเนื้อประมาณ 15–30 นาที แล้วล้างออก ทำซ้ำทุกวันประมาณ 2–3 สัปดาห์
  • ใช้ขิงฝานบางๆ แล้วนำมาถูบริเวณที่มีติ่งเนื้อ โดยทำต่อเนื่องประมาณ 5 นาที สามารถทำได้ทุกวัน เห็นผลลัพธ์ภายใน 2 สัปดาห์
  • น้ำมะนาว ให้นำน้ำมะนาวมาทาตรงที่มีติ่งเนื้อขึ้นมา จะทำให้ติ่งเนื้อค่อยๆ แห้งและหลุดออกไปในที่สุด ให้ทำต่อเนื่องเป็นประจำเช้าเย็นแล้วจะได้ผลเร็วยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากรักษาติ่งเนื้อด้วยตัวเองไม่ได้ผล คุณอาจลองปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อกำจัดติ่งเนื้อออกด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาทาเฉพาะที่สำหรับรักษาติ่งเนื้อ เช่น ยาอิมิควิโมด (Imiquimod) ยาฟลูออโรยูราซิล (Fluorouracil) หรือ รักษาด้วยการทำหัตการ ดังนี้

  1. การจี้ติ่งเนื้อด้วยไฟฟ้า การจี้ด้วยไฟฟ้าจะเป็นการใช้ความร้อนในการกำจัดติ่งเนื้อ โดยความร้อนจะทำให้เกิดการเผาไหม้บริเวณผิวหนังและทำให้ติ่งเนื้อหลุดออกไป การรักษาติ่งเนื้อด้วยวิธีนี้มักไม่ทำให้เกิดเลือดออก แต่อาจจำเป็นต้องใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเจ็บปวดในระหว่างการรรักษา
  2. การรักษาด้วยความเย็นจัด วิธีการนี้แพทย์จะทำการฉีดพ่นไนโตรเจนเหลวที่มีความเย็นจัดในปริมาณเล็กน้อยลงบนผิวหนังที่เกิดติ่งเนื้อ เพื่อใช้ความเย็นในการยับยั้งการเจริญเติบโตของผิวหนังที่เกิดติ่งเนื้อ และทำให้ติ่งเนื้อหลุดออกไปเอง โดยวิธีการนี้อาจจำเป็นต้องทำซ้ำจนกว่าติ่งเนื้อจะหลุดออกไปจนหมด
  3. การตัดด้วยกรรไกรทางการแพทย์ วิธีการนี้แพทย์จะใช้มีดหรือกรรไกรทางการแพทย์ในการตัดติ่งเนื้ออกไป โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการกำจัดติ่งเนื้อขนาดเล็กที่ห้อยย้อยออกมาจากผิวหนัง วิธีการตัดติ่งเนื้อออกมักจะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่อาจทำให้มีเลือดออกเล็กน้อย ในบางกรณี แพทย์อาจจำเป็นต้องเย็บแผลหรือใช้ผ้าพันแผล แต่ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของติ่งเนื้อที่ตัดออกไป

ถ้าเจอติ่งเนื้อแบบนี้ อย่าวางใจ ควรพบแพทย์

ติ่งเนื้อเป็นภาวะที่อาจเลี่ยงได้ โดยควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไปจนประสบภาวะอ้วนอันเป็นปัจจัยเสี่ยงของติ่งเนื้อ

แม้ติ่งเนื้อส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ควรสังเกตดูว่าก้อนนูนที่ขึ้นตามผิวหนังนั้นเป็นติ่งเนื้อ หูด หรือเนื้อร้ายอื่น ๆ ที่ต้องเข้ารับการรักษา หากพบลักษณะก้อนเนื้อที่นูนขึ้นมามีลักษณะต่อไปนี้ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาทันที

  • ติ่งเนื้อนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โตเร็วผิดปกติ มีขนาดเกิน 5 มิลลิเมตร
  • จำนวนติ่งเนื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ
  • มีลักษณะแข็งมาก เป็นก้อนนูนออกมา
  • สีของติ่งเนื้อเข้ม หรือแตกต่างไปจากสีผิวปกติ เช่น สีเหลือง สีดำ
  • ติ่งเนื้อมีเลือดออก หรือมีลักษณะเป็นเนื้อสด หรือทำให้คัน

สำคัญอย่างยิ่งและไม่ควรทำ คือ...

ไม่ควรใช้ของมีคมในการตัด ดึง หรือบีบติ่งเนื้อที่เกิดตามผิวหนังด้วยตัวเอง รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีคุณสมบัติในการจำกัดติ่งเนื้อที่คอได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักไม่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ และสามารถทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ หรืออาจนำไปสู่การเกิดปัญหาผิวหนังที่รุนแรงตามมาได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก พบแพทย์ดอตคอม / หาหมอดอตคอม