เปิดวิธีแก้อาการนอนกรน ลดเสี่ยงภาวะหยุดหายใจ ทำได้ด้วยตัวเอง

06 ก.พ. 2567 | 07:50 น.

เปิดคำแนะนำ วิธีแก้ปัญหาอาการนอนกรน ด้วยตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงก่อนเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ พร้อมเช็คประเภท-ระดับความรุนแรงของโรค

การนอนกรน นับเป็นภัยเงียบที่อันตรายและแฝงความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนอนกรนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับทำให้เสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจขาดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันและโรคของหลอดเลือดในสมอง

ชนิดของความผิดปกติในการนอนกรน

1.การนอนกรนธรรมดา (primary snoring)

  • ไม่อันตราย เพราะไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย

2.ภาวะก้ำกึ่งระหว่าง กรนธรรมดา และกรนอันตราย (upper airway resistance syndrome) หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย (obstructive sleep apnea)

การมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยจัดเป็นชนิดที่อันตราย เพราะเมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ จะมีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยจะมีช่วงที่กรนเสียงดังและค่อยสลับกันเป็นช่วง ๆ จะกรนดังขึ้นเรื่อย ๆ และจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วระยะหนึ่ง คล้ายการกลั้นหายใจ

ช่วงที่หยุดหายใจนี้จะทำให้เกิดอันตรายเนื่องจากระดับออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลง ร่างกายจะมีกลไกตอบสนองต่อภาวะนี้โดยสมองจะถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นเพื่อหายใจใหม่โดยมีอาการสะดุ้งเฮือก หรืออาการเหมือนสำลักน้ำลายตนเอง หรือหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศ

ดังนั้น คนที่นอนกรนจึงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนนอนไม่พอ แม้ว่าจะนอนเป็นจำนวนชั่วโมงที่มากพอก็ตาม รวมทั้งยังเป็นผลเสียต่อสุขภาพโดย มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจขาดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคของหลอดเลือดในสมอง

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการนอนกรนได้มากขึ้นหรือรุนแรงขึ้น

1. อายุมาก

ทำให้เยื่อและกล้ามเนื้อของทางเดินหายใจบริเวณลำคอ เช่น ผนังด้านข้างของช่องคอ ลิ้นไก่ เพดานอ่อน ลิ้น หย่อนยานและขาดความตึงตัว ทำให้ตกไปขวางทางเดินหายใจได้ง่าย

2. เพศชาย จะกรนมากกว่าเพศหญิง

เนื่องจากเชื่อว่า ฮอโมนเพศหญิงมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจมีความตึงตัวที่ดี

3. ความอ้วน

ทำให้มีไขมันสะสมที่ด้านข้างของช่องลำคอมากขึ้น ทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง

4.ภาวะใดที่ทำให้จมูกคัดแน่น

ทำให้การหายใจติดขัด และลำบากมากขึ้น เช่น ผนังกั้นโพรงจมูกคด เยื่อบุจมูกอักเสบและเนื้องอกในจมูก เป็นต้น

5.ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้า

คนที่มีคางเล็กหรือกระดูกแก้มแบนจะมีผลทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบ

6.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยานอนหลับ

จะทำให้กล้ามเนื้อที่เปิดช่องทางเดินหายใจอ่อนแรง ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่ายขึ้นและมีผลกดการทำงานของสมอง ทำให้สมองตื่นขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อภาวะการขาดออกซิเจนได้ช้า ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เมื่อเกิดภาวะการหยุดหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลเสียต่อสมองและหัวใจ

7.การสูบบุหรี่

ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบทางเดินหายใจแย่ลง

8.กรรมพันธุ์

พบว่า ผู้ที่มีประวัติโรคนอนกรนในครอบครัว จะมีโอกาสเป็นโรคนอนกรนได้มากขึ้น

การแก้ไขปัญหาการนอนกรนเบื้องต้น

หากพบว่าอาการนอนกรนไม่ได้อยู่ในระดับที่อันตรายสามารถแก้ไขอาการเบื้องต้นได้ ดังนี้

1.ปรับเปลี่ยนท่านอนให้ศีรษะอยู่สูงกว่าลำตัว

2.รักษาน้ำหนักให้ได้ตามมาตรฐาน

3.งดการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์

4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

5.ปรับการนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน

6.หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้ง่วงนอน

ข้อมูล โรงพยาบาลสมิติเวช , โรงพยาบาลเพชรเวช