“สาธิต” ชี้โอกาสไทยเป็นศูนย์สุขภาพ ดันฮับศัลยกรรมความงาม

25 ก.พ. 2566 | 03:14 น.

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยความพร้อมการแพทย์ยั่งยืนต้องเดินหน้า 3 ระบบ ชี้โอกาสเป็นศูนย์สุขภาพ ผ่าน Expo 2028 Phuket ดันฮับศัลยกรรมความงาม

นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในงานสัมมนา Dinner Talk “THANX Forum 2023 : Health & Wellness Sustainability” ในหัวข้อ “นโยบายไทย : ศูนย์กลางการแพทย์อย่างยั่งยืน” จัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ว่า ต้นทุนของประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐานในระบบสาธารณะสุข สถานพยาบาลมีพร้อมแล้ว และมีความเชื่อมั่นต่อระบบสาธารณะสุข ที่มีการฟื้นตัวจากสถารการณ์ต่างๆ ได้เร็ว อย่างการแพร่ระบาดโควิด

นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ขณะเดียวกัน นโยบายสุขภาพของประเทศนี้ที่จะสร้างโอกาสหลังสถานการณ์โควิด ซึ่งปัจจุบันมีการทำไปแล้ว โดยไทยได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand ที่ภูเก็ต พื้นที่ที่พัฒนาเป็นหาดไม้ขาว 200 ไร่ ซึ่งจะเป็นโมเดลต้นแบบของศูนย์สุขภาพ และหากทำสำเร็จจะเข้าไปเสริมนโยบายการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพด้วย

 

อย่างไรก็ดี การที่จะเป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ต้องสอดคล้องไปกับการพัฒนาศักยภาพระเบียงเศรษฐกิจพื้นที่สุขภาพ ซึ่งจังหวัดระยอง เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงมาก เช่น ฝั่งอันดามัน และยังมีสิ่งที่สำคัญอย่างแพทย์แผนไทย ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นมรดกโลก สิ่งเหล่านี้จะมาเติมเต็มการพัฒนาศักยภาพและเป็นที่นิยมในกระแสสุขภาพต่างๆ

“แน่นอนว่า โครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์การแพทย์ที่ยั่งยืน ซึ่งจะต้องมีการดูแลและทำให้ได้ทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ”

  • ต้นน้ำ คือ การวิจัย เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม โดยอุตสาหกรรมต้นน้ำต้องเกิดจากการวิจัยและควาวมน่าเชื่อถือ ซึ่งต้องร่วมมือกันทั้งประเทศ รวมทั้งเอกชน
  • กลางน้ำ คือ เรื่องบุคลากร ยา และมาตรฐานสถานพยาบาล จะต้องมีการเดินเป็นขบวน รัฐต้องเข้ามาช่วยดูแลและควบคุม เพื่อให้การสนับสนุนทั้งเรื่องสุขภาพ การท่องเที่ยว รวมทั้งประชาชนด้วย 
  • ปลายน้ำ คือ การให้บริการกับประชาชนคนไทย และผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งต้องผลิตพยาบาลที่มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น และรัฐก็ต้องสนับสนุนสถานพยาบาลไม่ว่าจะรัฐและเอกชน

ทั้งนี้ พื้นที่ที่จะพัฒนาในระเบียงเศรษฐกิจในแง่ศูนย์การแพทย์ที่จะเกิดขึ้น คือ ภูเก็ต ซึ่งเชื่อว่าสามารถเป็น Phuket Hub ได้อย่างแน่นอน หากทำให้เกิดความเชื่อมั่น ซึ่งที่ภูเก็ตเรามีการพูดถึงโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP)

ขณะที่พื้นที่พิเศษระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ก็จะใช้ช่องทาง PPP ในการที่จะส่งเสริมนักลงทุนและผู้ประกอบการ โดยหากผ่อนปรนกฎหมายบางตัว เพื่อดึงเอกชนเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี

นายสาธิต กล่าวว่า ปัจจุปันพื้นที่ CLMV ที่เดินทางไปเกาหลี หรือที่อื่น เพื่อทำศัลยกรรม อนาคตจะเดินทางมาลงที่อู่ตะเภา โดยเราจะดึงแบรนด์ใหญ่ๆ อย่างธนบุรี ยันฮี เพื่อให้เป็นฮับของการศัลยกรรมความงาม และมีการเว้นภาษีให้สำหรับการนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์ เป็นต้น

“เราจะเป็นศูนย์ศัลยกรรมความงามแข่งขันกับประเทศเกาหลี ซึ่งรัฐบาลต้องประกาศเป็นวาระแห่งชาติ และรองรับโอกาสที่จะเกิดขึ้นในเศรษฐกิจ ซึ่งเราได้เดินหน้าไปแล้ว ผ่านการร่วมทุนใน PPP ไปแล้ว ที่โรงพยาบาลปลวกแดง 2 ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ส่งเสริมให้เราเดินหน้าไปยังพื้นที่ต่างๆ”

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องรักษาสำหรับการแพทย์ไทย คือ สมุนไพรไทย ต้องผลักดันให้สมุนไพรไทยเกิดการยอมรับ ซึ่งขณะนี้ได้มีการเดินหน้าเรื่องอาหารและยาแล้ว เป็นการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เช่น จันทบุรี มีใบชะมวง อาหารและยาก็จะผลิตเมนูที่ให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ซึ่งอาหารที่รับประทานจะส่งเสริมภูมิคุ้มกันด้วย เป็นต้น ขณะที่แพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือกก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“ต้นทุนที่เรามีเป็นต้นทุนที่มหาศาล อยู่ที่โอกาสที่เราจะรองรับ และพัฒนาให้มีความพร้อม ซึ่งงาน Expo 2568 ที่จะเกิดขึ้นในญี่ปุ่นนี้ กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ ใช้งบประมาณ 900 ล้านบาท จะเป็นการเพิ่มศักยภาพของประเทศไทย คนทั้งโลกที่เข้ามาร่วมงานจะได้เห็นศักยภาพของประเทศไทย"

ทั้งนี้ ย้ำว่า ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทุกระดับจะสนับสนุนไปสู่การสร้างรายได้ผู้ประกอบการ และสร้างความมั่นคงในระบบสาธารณสุขและระบบสถานพยาบาล ซึ่งมั่นใจว่าอีก 3 ปีข้างหน้า โอกาสจะมาอยู่ในมือคนไทย และให้โอกาสทางเศรษฐกิจมาเปลี่ยนเป็นเงินในกระเป๋าของคนไทย