5 มติสมัชชาสุขภาพสอดรับนโยบาย 'อนุทิน' แนะรัฐบาลนำไปใช้ได้ทันที

11 ก.ย. 2568 | 05:15 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ย. 2568 | 05:18 น.

เปิด 5 มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ 'NCDs – มะเร็งท่อน้ำดี – ระบบสุขภาพเขตเมือง – การบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ – การพัฒนาประชากร' พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนมติสอดรับนโยบายเร่งด่วน นายกฯ อนุทิน แนะ รัฐบาล-กระทรวง นำแนวทางในมติไปปรับใช้แก้ปัญหาชาติได้ทันที

KEY

POINTS

  • สมัชชาสุขภาพแห่งชาติเสนอ 5 มติที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ และพร้อมให้รัฐบาลนำไปปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาของประเทศได้ทันที
  • มติทั้ง 5 ครอบคลุมประเด็นสำคัญทั้งด้านการแพทย์และสังคม ได้แก่ โรคไม่ติดต่อ (NCDs), การกำจัดพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี, ระบบสุขภาพเขตเมือง, การบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ และการพัฒนาประชากรคุณภาพ
  • มติดังกล่าวถูกเน้นย้ำว่าผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนและมีหลักวิชาการรองรับแล้ว ทำให้สามารถนำไปต่อยอดเป็นนโยบายได้อย่างรวดเร็ว

11 กันยายน 2568 ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสังคมและสุขภาวะ เปิดเผยว่า รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล สามารถนำเอาแนวทางตามข้อมติในมติสมัชชาสุขภาพซึ่งมีทั้งประเด็นที่ต้องเร่งด่วนอย่างภัยพิบัติ ฝุ่นควัน

ประเด็นปัจจุบันอย่างโรคไม่ติดต่อ (NCDs) หรือประเด็นอนาคตอย่างสุขภาวะสังคมสูงวัย ไปประยุกต์หรือปรับใช้ในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศได้ทันทีเพราะมติดังกล่าวผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนบนหลักวิชาการมาแล้วและยังสอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล หน่วยงาน และกระทรวงต่าง ๆ อีกด้วย

ยกตัวอย่างปัญหาภัยธรรมชาติ น้ำท่วม น้ำหลาก น้ำแล้ง มีมติเรื่องการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ซึ่งมองการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นองค์รวมดูว่าปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานั้นมีอะไรบ้าง เช่น องค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี ระบบจัดการข้อมูล กลุ่มคน หรือหน่วยงานที่มีศักยภาพ โดยให้น้ำหนักไปที่การบูรณาการกลไกบริหารจัดการ จากเดิมที่ต่างคนต่างทำให้มาร่วมกันซึ่งหน้าที่ของ สช. ก็จะไปประสานให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การมีส่วนร่วม การวางแผนร่วมกันปฏิบัติ ฯลฯ  

ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และสาธารณสุข กล่าวว่า มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติล้วนแต่ตั้งต้นมาจากปัญหาสลับซับซ้อนที่จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการการมีส่วนร่วมและนโยบายสาธารณะในการแก้ไข มติฯ ทั้งหมดจึงมีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก็จะมีความชัดเจนว่ารัฐบาลมุ่งเน้นด้านใด และการขับเคลื่อนมติฯ จะสอดรับได้อย่างไร 

ส่วนนพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตลอด 17 ปี ที่ผ่านมา มีมติสมัชชาสุขภาพฯ รวม 98 มติ และในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 จะพิจารณาเพิ่มอีก 5 มติซึ่งส่วนใหญ่สอดคล้องและมีส่วนสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เช่น มติการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ซึ่งตรงกับปัญหาของประเทศและตรงกับนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรีอนุทินที่ต้องการแก้ปัญหาภัยคุกคามและส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนใน 4 ด้าน โดยหนึ่งในนั้น คือ ภัยธรรมชาติที่จะต่อยอดไปสู่การทำระบบเตือนภัย ระบบเยียวยาฟื้นฟู การเร่งชดเชยผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงทีและเป็นธรรม

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์

นพ.สุเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีประเด็นที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระในสมัชชาฯ จำนวน 5 ประเด็น ได้แก่ 1. การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย (silver economy) 2. ผลกระทบของภูมิรัฐศาสตร์ต่อระบบสุขภาพไทย 3. การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 4. ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต 5. กลไกพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ มติฯ ที่ คมส. มีมติรับทราบความก้าวหน้าในการประชุม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน 

ส่วนแรก คือ มติฯ ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ฯ ประกอบด้วย 3 มติฯ ได้แก่ 1.กลุ่มมติที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) แม้จะมีการขับเคลื่อนจริงจังและถูกนำไปเป็นนโยบายในระดับพื้นที่และระดับชาติ เช่น การนับคาร์บแต่ยังพบความท้าทาย เช่น มาตรการภาษี มาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มให้เป็นมิตรต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการออกกำลังกาย ฯลฯ

นพ.สุเทพ เพชรมาก

เสนอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี เพื่อจัดการปัจจัยเสี่ยงโรค NCDs

2. มติ 7.3 การกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในประชาชน โดยหลายหน่วยงานได้ทำแผน สนับสนุนงบประมาณ คิดค้นนวัตกรรมช่วยแก้ปัญหา เช่น ฐานข้อมูลกลุ่มเสี่ยง (Isan Cohort) ชุดตรวจคัดกรองโรคแบบรวดเร็ว (OV-ATK) รวมทั้งนำงานวิจัยมาใช้จริงในพื้นที่ แต่ก็ยังพบช่องว่างในการขับเคลื่อน จึงเสนอให้ ศธ. บรรจุหลักสูตรภูมิคุ้มกันโรคและสอนในสถานศึกษาพื้นที่เสี่ยงสูง ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) สนับสนุนให้ท้องถิ่นมีบ่อบำบัด ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สร้างแรงจูงใจหน่วยบริการร่วมดำเนินการ ให้ สธ. สนับสนุนการจัดหายา วางระบบ Service plan กำหนดมาตรฐานและเฝ้าระวังอาหาร

5 มติสมัชชาสุขภาพสอดรับนโยบาย 'อนุทิน' แนะรัฐบาลนำไปใช้ได้ทันที

3. มติ 8.3 ระบบสุขภาพเขตเมือง: การพัฒนาระบบบริการสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งกรุงเทพมหานคร (กทม.) หนึ่งในพื้นที่ตามมติฯ ได้ใช้แนวทางการบริหารจัดการในระดับโซนพื้นที่ (Bangkok Health Zoning) มีการตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายใช้กองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม. สร้างการมีส่วนร่วมประชาชน จัดทำธรรมนูญสุขภาพระดับเขตไปแล้ว 22 เขต อยู่ระหว่างจัดทำอีก 28 เขต

ส่วนข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนมติฯ จากนี้ให้ อปท. หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่รับถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) กำหนดนโยบายจัดระบบบริการสุขภาพเขตเมืองระดับจังหวัดที่มุ่งเน้นบริการปฐมภูมิ

สำหรับส่วนที่สอง คือ มติฯ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสังคมและสุขภาวะ ซึ่งมีด้วยกัน 2 มติ ได้แก่ 1.มติ 16.2 การส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ที่นอกจากจะมุ่งแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง หรือน้ำหลากแล้ว ต้องมองให้ครบทุกระบบตั้งแต่ต้น กลาง และปลายน้ำ

ขณะนี้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ดำเนินงานภายใต้ร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 20 ปี พร้อมทำงานร่วมกับคณะกรรมการลุ่มน้ำและองค์กรผู้ใช้น้ำ ฯลฯ แต่ก็ยังพบปัญหาจากกฎระเบียบข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการบูรณาการทำงานร่วมกัน จึงต้องมีการทำงานเรื่องนี้กันต่อ

2. มติ 16.3 การส่งเสริมการพัฒนาประชากรให้เกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 มีการบรรจุประเด็นนี้ ขณะที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อปท. ศธ. ได้ร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อให้บรรลุผล โดยทั้งสองมตินี้จะมีการรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ด้วย