คกก.โรคติดต่อฯ เร่งรัดกวาดล้าง 4 โรคป้องกันได้ด้วยวัคซีน

18 ส.ค. 2568 | 09:30 น.

คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบหลักการนโยบายกำจัดกวาดล้างโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน "โปลิโอ-หัด-หัดเยอรมัน-หัดเยอรมันแต่กำเนิด" ตามพันธะสัญญานานาชาติ พร้อมยกระดับระบบเฝ้าระวัง "โรคหัด- ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็ก" ตั้งเป้ากำจัดโรคหัดเยอรมันภายในปี 68 ตามคาดการณ์ของ WHO

18 สิงหาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2568 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายสมศักดิ์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้มีการติดตามสถานการณ์โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ได้แก่ 1. โปลิโอ ประเทศไทยได้รับการรับรองว่า โปลิโอฟรีตั้งแต่ปี 2540 แต่ยังต้องเฝ้าระวังผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็กต่ำกว่า 15 ปี

2. หัดเยอรมัน มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะกำจัดโรคหัดเยอรมันได้ภายในปี 2568 และ 3. โรคหัด ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ไทยยังพบว่า มีการระบาด 

นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ นโยบายการกำจัดและกวาดล้างโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ซึ่งประกอบด้วย โปลิโอ, หัด, หัดเยอรมัน และ หัดเยอรมันแต่กำเนิด ตามพันธะสัญญานานาชาติ และมอบหมายให้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด / คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร เร่งรัดการให้วัคซีนหัดแก่เด็กตามเกณฑ์ให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่า 95% พร้อมยกระดับความเข้มแข็งของระบบเฝ้าระวังโรค โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะสื่อสารกับราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ และคณะกรรมการพัฒนางานอนามัยแม่และเด็ก (MCH board) ระดับเขตและระดับจังหวัด ในการจัดระบบเฝ้าระวังและส่งต่อ รวมถึงสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคในกลุ่มคนต่างด้าวประชากรแฝง โดยส่งเสริมการใช้ข้อมูลชีวภาพ (Biometric) เพื่อยืนยันตัวตน มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการสภากาชาดไทย และอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นที่ปรึกษา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นรองประธาน

คกก.โรคติดต่อฯ เร่งรัดกวาดล้าง 4 โรคป้องกันได้ด้วยวัคซีน

หน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ สภากาชาดไทย เป็นคณะกรรมการ มีรองอธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร เป็นฝ่ายเลขานุการ

สำหรับแผนปฏิบัติการฯ อยู่ระหว่างพิจารณากลั่นกรองของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งระยะที่ 1 (1-6 เดือน) เป็นการเตรียมพร้อมเชิงระบบและนำร่อง โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ จัดทำแนวทางความร่วมมือ (MOU) เร่งพัฒนาระบบ Health ID ที่เชื่อมโยง Biometric (TRCBAS) ของสภากาชาดไทย และจัดการทรัพยากร / ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่โดยใช้สมุทรสาครโมเดล ในพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี นครนายก ชลบุรี สมุทรปราการ จันทบุรี สระแก้ว ระยอง ตราด รวมถึงจังหวัดอื่นที่มีความพร้อม

คกก.โรคติดต่อฯ เร่งรัดกวาดล้าง 4 โรคป้องกันได้ด้วยวัคซีน

ด้าน นพ.โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า สมุทรสาครโมเดล เป็นการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคโดยใช้ Biometric ยืนยันตัวตน ปัจจุบันทุกโรงพยาบาล และ รพ.สต. สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในจังหวัดสมุทรสาคร มีเครื่อง Iris scan ครบ 100% สามารถระบุอัตลักษณ์บุคคลของแรงงานต่างด้าว ป้องกันการสวมสิทธิและการสวมตัวตนจากบุคคลอื่น เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลการรักษาพยาบาล และเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีการขยายผลต่อเนื่องในเขตสุขภาพที่ 5 โดยมีโรงพยาบาลสมุทรสาครเป็นพี่เลี้ยง และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร จัดระบบในภาพรวมของเขตสุขภาพและติดตามการดำเนินงาน

คกก.โรคติดต่อฯ เร่งรัดกวาดล้าง 4 โรคป้องกันได้ด้วยวัคซีน

สถานการณ์โรคติดต่อที่สำคัญในช่วงนี้ : 

1. โรคมือเท้าปาก 

มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และกรกฎาคม พบมากในภาคใต้ และในกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0-4 ปี ย้ำให้สื่อสารมาตรการป้องกันควบคุมโรค ให้สถานศึกษาและสถานรับเลี้ยงเด็กคัดกรองทุกเช้า ดูแลสุขอนามัย ทำความสะอาดของเล่นและสถานที่ที่ใช้ร่วมกันเป็นประจำ หากมีการระบาดเป็นวงกว้างควรปิดทำความสะอาดห้องเรียน และแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่สอบสวนควบคุมโรค

2. โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส RSV

แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2567 พบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0 - 4 ปี แต่ยังไม่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ย้ำการสื่อสารมาตรการป้องกันควบคุมโรค โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

3. โรคไข้เลือดออก

ปีนี้พบผู้ป่วยแล้ว 36,995 ราย เสียชีวิต 37 ราย แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในทุกเขตสุขภาพ เนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด 19 ย้ำหากมีไข้ให้รับประทานยาพาราเซตามอล หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) หาก 1 – 2 วัน อาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์