ระบบสุขภาพของไทย ได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกในฐานะประเทศรายได้ปานกลางที่สามารถจัดการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพวันนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักทั้งในเรื่องของงบประมาณ การบริหารจัดการและภาระด้านสุขภาพจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Aged Society) หากยังไม่มีการปฏิรูประบบอย่างจริงจัง โดยปัจจุบันระบบประกันสุขภาพของไทยมีด้วยกัน 4 ตัวเลือกหลัก ประกอบด้วย 1. หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตรทอง 2. ประกันสังคม 3. สวัสดิการข้าราชการ และ 4. ประกันสุขภาพเอกชน
ประเด็นปัญหาที่ปรากฎให้เห็นเด่นชัดและถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันเป็นวงกว้างตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งสร้างความกังวลและส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของประชาชนไม่น้อยเป็นเรื่องของ 'หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า' หรือ 'บัตรทอง 30 บาท' ซึ่งดูแลสุขภาพคนไทย ครอบคลุมมากถึง 49.8 ล้านคน หรือ คิดเป็นร้อยละ 74 ของประชากรไทย ถูกตั้งข้อสังเกตว่า กำลังจะล่มสลายภายใน 3 ปีนี้ หากยังไม่มีการบริหารจัดการระบบงบประมาณที่ดีพอ
สอดรับกับข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมาที่ชี้ให้เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สถานะทางการเงินของโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขหลายแห่งในระบบบัตรทองกำลังประสบปัญหาขาดทุน ตัวเลขติดลบอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของโรงพยาบาล
ร้อนถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และประธานบอร์ด สปสช. ผู้กุมบังเหียนขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพโดยเฉพาะนโยบาย 30 รักษาทุกที่ของรัฐบาลต้องออกมายืนยันด้วยตัวเองว่า รัฐบาลจะไม่ยอมปล่อยให้ 'บัตรทอง' ล้มอย่างแน่นอนเนื่องจากเป็นนโยบายหลักสำคัญที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
ทั้งยังกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า ปัญหาโรงพยาบาลขาดทุนนั้นไม่น่าจะเกี่ยวกับระบบบัตรทองโดยตรง หลังจากนั่งประชุมบอร์ด สปสช.ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยที่ประชุมบอร์ด สปสช. มีมติเห็นชอบข้อเสนอให้มีการตั้ง 'คณะกรรมการศึกษาต้นทุนและอัตราจ่ายที่เหมาะสมให้โรงพยาบาล' และเห็นชอบในหลักการเพื่อทำการศึกษาฯเพื่อให้หน่วยงานที่ดูแลสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลภาครัฐใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขและลดปัญหาโรงพยาบาลขาดทุน
นอกจากนี้ได้มอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประสาน 'คณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย' ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เพื่อให้พิจารณาผลจากการศึกษาฯที่เกิดขึ้นนี้
อย่างไรก็ดี ในการประชุมบอร์ด สปสช. ครั้งนี้ พบว่า ตัวเลขติดลบไม่ตรงกันเนื่องจากมีการระบุว่า การคิดข้อมูลดังกล่าวจะต้องเอาเงินสดบวกกับเงินที่จะได้รับ และรวมสินค้าคงคลังทั้งหมดของโรงพยาบาลด้วย ขณะที่โรงพยาบาลบางแห่งคิดแต่เงินสดเพียงอย่างเดียว
ในที่ประชุมยังได้นำข้อมูลจากเว็บไซต์กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข มาวิเคราะห์เรื่องเงินบำรุงของรพ.ในสังกัด สป.สธ. พบว่า เงินบำรุงในระบบ หลังหักหนี้สิน ณ ไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2568 ยังคงเหลือมากกว่า 4.6 หมื่นล้านบาทจากรพ.ในสป.สธ. 902 แห่ง โดยข้อมูล รพ.ที่เงินบำรุงหลังหักหนี้สินเป็นลบอยู่ที่ 218 แห่ง เงินบำรุงหลังหักหนี้สินติดลบ 5,718.27 ล้านบาท ทุนสำรองสุทธิ 10,389.03 ล้านบาท
ส่วนเงินบำรุงหลักหักหนี้สินเป็นบวกอยู่ที่ 684 แห่งจาก 902 แห่ง เงินบำรุงหลังหักหนี้สินยังเหลือ 52,216.63 ล้านบาท ทุนสำรองสุทธิเหลือ 103,008.75 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีต่าง ๆ แล้ว พบว่า โรงพยาบาลที่ทุนสำรองสุทธิติดลบอยู่ 13 แห่ง (ตารางประกอบ) โดยเงินบำรุงหลังหักหนี้สินจะติดลบอยู่ที่ 1,426.58 ล้านบาท ทุนสำรองสุทธิติดลบที่ 148.41 ล้านบาท
ส่วน รพ.ทุนสำรองสุทธิเป็นบวก จำนวน 889 แห่ง มีเงินบำรุงหลังหักหนี้สินรวมกว่า 47,924.94 ล้านบาท ทุนสำรองสุทธิเหลือ 113,546.19 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ภาพรวมของโรงพยาบาลสังกัดสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขจากกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 กว่า 1,400 ล้านบาท เทียบไตรมาส 1-3 และผลการดำเนินงานภาพรวมของรพ.สป.สธ. ปีงบประมาณ 2568 ยังคงมีรายได้มากกว่ารายจ่าย 13,000 ล้านบาท
ปัญหานี้ยังลามไปถึง 'คลินิกชุมชนอบอุ่น' ที่ให้บริการในฐานะหน่วยบริการปฐมภูมิกับ สปสช.ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเกาะติดกันต่อไป จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบสุขภาพของคนไทยวันนี้ยังต้องเฝ้าระวัง เพราะที่สุดแล้วการ 'ป้องกัน' ย่อมดีกว่ารอให้ป่วยแล้ว 'รักษา'
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,104 วันที่ 12 - 14 มิถุนายน พ.ศ. 2568