หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความท้าทายที่ต้องเร่ง "ปฏิรูป"

11 มิ.ย. 2568 | 23:00 น.

จับชีพจร หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หลัง สธ. - สปสช. พบโรงพยาบาลรัฐ 218 แห่งจาก 902 แห่งมีเงินบำรุงติดลบ รวมกว่า 5.7 พันล้านบาท สะท้อนปัญหาการบริหารจัดการที่ไม่สมดุล

ระบบสุขภาพของไทย ได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกในฐานะประเทศรายได้ปานกลางที่สามารถจัดการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพวันนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักทั้งในเรื่องของงบประมาณ การบริหารจัดการและภาระด้านสุขภาพจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Aged Society) หากยังไม่มีการปฏิรูประบบอย่างจริงจัง โดยปัจจุบันระบบประกันสุขภาพของไทยมีด้วยกัน 4 ตัวเลือกหลัก ประกอบด้วย 1. หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตรทอง 2. ประกันสังคม 3. สวัสดิการข้าราชการ และ 4. ประกันสุขภาพเอกชน

ประเด็นปัญหาที่ปรากฎให้เห็นเด่นชัดและถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันเป็นวงกว้างตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งสร้างความกังวลและส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของประชาชนไม่น้อยเป็นเรื่องของ 'หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า' หรือ 'บัตรทอง 30 บาท' ซึ่งดูแลสุขภาพคนไทย ครอบคลุมมากถึง 49.8 ล้านคน หรือ คิดเป็นร้อยละ 74 ของประชากรไทย ถูกตั้งข้อสังเกตว่า กำลังจะล่มสลายภายใน 3 ปีนี้ หากยังไม่มีการบริหารจัดการระบบงบประมาณที่ดีพอ

สอดรับกับข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมาที่ชี้ให้เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สถานะทางการเงินของโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขหลายแห่งในระบบบัตรทองกำลังประสบปัญหาขาดทุน ตัวเลขติดลบอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของโรงพยาบาล

ร้อนถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และประธานบอร์ด สปสช. ผู้กุมบังเหียนขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพโดยเฉพาะนโยบาย 30 รักษาทุกที่ของรัฐบาลต้องออกมายืนยันด้วยตัวเองว่า รัฐบาลจะไม่ยอมปล่อยให้ 'บัตรทอง' ล้มอย่างแน่นอนเนื่องจากเป็นนโยบายหลักสำคัญที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความท้าทายที่ต้องเร่ง "ปฏิรูป"

ทั้งยังกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า ปัญหาโรงพยาบาลขาดทุนนั้นไม่น่าจะเกี่ยวกับระบบบัตรทองโดยตรง หลังจากนั่งประชุมบอร์ด สปสช.ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยที่ประชุมบอร์ด สปสช. มีมติเห็นชอบข้อเสนอให้มีการตั้ง 'คณะกรรมการศึกษาต้นทุนและอัตราจ่ายที่เหมาะสมให้โรงพยาบาล' และเห็นชอบในหลักการเพื่อทำการศึกษาฯเพื่อให้หน่วยงานที่ดูแลสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลภาครัฐใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขและลดปัญหาโรงพยาบาลขาดทุน

นอกจากนี้ได้มอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประสาน 'คณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย' ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เพื่อให้พิจารณาผลจากการศึกษาฯที่เกิดขึ้นนี้

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความท้าทายที่ต้องเร่ง "ปฏิรูป" จากข้อมูลของ กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุภาพรวมเงินบำรุงโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2568 พบว่า ยังคงเหลือมากกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท และพบว่า มีโรงพยาบาลที่มีเงินบำรุงหลังหักหนี้สินเป็นลบและมีทุนสำรองสุทธิเป็นลบ จำนวน 13 แห่ง ซึ่งมีทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ในจำนวนนี้มีเงินบำรุงรวมกันก่อนหักหนี้สินจำนวน 350.21 ล้านบาท แต่เมื่อหักหนี้สินแล้ว กลับเหลือเงินบำรุงติดลบกว่า 1.4 พันล้านบาท

อย่างไรก็ดี ในการประชุมบอร์ด สปสช. ครั้งนี้ พบว่า ตัวเลขติดลบไม่ตรงกันเนื่องจากมีการระบุว่า การคิดข้อมูลดังกล่าวจะต้องเอาเงินสดบวกกับเงินที่จะได้รับ และรวมสินค้าคงคลังทั้งหมดของโรงพยาบาลด้วย ขณะที่โรงพยาบาลบางแห่งคิดแต่เงินสดเพียงอย่างเดียว

ในที่ประชุมยังได้นำข้อมูลจากเว็บไซต์กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข มาวิเคราะห์เรื่องเงินบำรุงของรพ.ในสังกัด สป.สธ. พบว่า เงินบำรุงในระบบ หลังหักหนี้สิน ณ ไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2568 ยังคงเหลือมากกว่า 4.6 หมื่นล้านบาทจากรพ.ในสป.สธ. 902 แห่ง โดยข้อมูล รพ.ที่เงินบำรุงหลังหักหนี้สินเป็นลบอยู่ที่ 218 แห่ง เงินบำรุงหลังหักหนี้สินติดลบ 5,718.27 ล้านบาท ทุนสำรองสุทธิ 10,389.03 ล้านบาท

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความท้าทายที่ต้องเร่ง "ปฏิรูป"

ส่วนเงินบำรุงหลักหักหนี้สินเป็นบวกอยู่ที่ 684 แห่งจาก 902 แห่ง เงินบำรุงหลังหักหนี้สินยังเหลือ 52,216.63 ล้านบาท ทุนสำรองสุทธิเหลือ 103,008.75 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีต่าง ๆ แล้ว พบว่า โรงพยาบาลที่ทุนสำรองสุทธิติดลบอยู่ 13 แห่ง (ตารางประกอบ) โดยเงินบำรุงหลังหักหนี้สินจะติดลบอยู่ที่ 1,426.58 ล้านบาท ทุนสำรองสุทธิติดลบที่ 148.41 ล้านบาท

ส่วน รพ.ทุนสำรองสุทธิเป็นบวก จำนวน 889 แห่ง มีเงินบำรุงหลังหักหนี้สินรวมกว่า 47,924.94 ล้านบาท ทุนสำรองสุทธิเหลือ 113,546.19 ล้านบาท
 ขณะที่รายได้ภาพรวมของโรงพยาบาลสังกัดสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขจากกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 กว่า 1,400 ล้านบาท เทียบไตรมาส 1-3 และผลการดำเนินงานภาพรวมของรพ.สป.สธ. ปีงบประมาณ 2568 ยังคงมีรายได้มากกว่ารายจ่าย 13,000 ล้านบาท

ปัญหานี้ยังลามไปถึง 'คลินิกชุมชนอบอุ่น' ที่ให้บริการในฐานะหน่วยบริการปฐมภูมิกับ สปสช.ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเกาะติดกันต่อไป จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบสุขภาพของคนไทยวันนี้ยังต้องเฝ้าระวัง เพราะที่สุดแล้วการ 'ป้องกัน' ย่อมดีกว่ารอให้ป่วยแล้ว 'รักษา' 

นังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,104 วันที่ 12 - 14 มิถุนายน พ.ศ. 2568