ทุ่มงบกว่า 509 ล้าน ปั้น รพ.ชายขอบ สู่ ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง

02 มิ.ย. 2568 | 08:00 น.
อัปเดตล่าสุด :02 มิ.ย. 2568 | 08:14 น.

สมศักดิ์-สำนักงบฯ ทุ่มงบปี 69 กว่า 509 ล้านบาท ยกระดับ 9 รพ.ชายแดนเป็นศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง หวังสร้างรายได้จากต่างชาติ ลดเหลื่อมล้ำรักษาคนไทยในพื้นที่ห่างไกล

2 มิถุนายน 2568 นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการแถลงนโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Wellness and Medical Hub เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ เช่นบริการนวดสปาเพื่อสุขภาพ นวดเสริมสวย สปาน้ำพุร้อน รวมถึงเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพ เช่น การรักษาพยาบาลทั้งเสริมความงาม ทันตกรรม ศัลยกรรม บริการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก บริการห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่นำจุดแข็งของประเทศไทย ส่งเสริมดึงดูดเม็ดเงินที่มีมูลค่าสูง 6.9 แสนล้านต่อปี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ผลักดันนโยบาย Wellness and Medical Hubให้เป็นรูปธรรมด้วย 7 นโยบายสำคัญ เช่น การจัดตั้งสำนักนโยบายเศรษฐกิจสาธารณสุข ยกระดับภูมิปัญญาไทย ยกระดับสมุนไพรไทย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูงกว่า เป็นต้น

โดยผลักดันงบประมาณเพิ่มเติมที่ใช้ในโครงการต่าง ๆ ผ่านหน่วยงานที่อยู่ในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขในร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

นายจิรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในโครงการที่สำนักงบประมาณให้ความสำคัญจัดสรรงบประมาณในรายการใหม่ให้ถึง 509.9 ล้านบาท คือ โครงการ Border Medical Hubs หรือ การสาธารณสุขชายแดนที่นายสมศักดิ์ ผลักดันบรรจุอยู่ใน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างให้หน่วยบริการโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขตามจังหวัดชายขอบให้เป็น Medical Hubs หรือ โรงพยาบาลเฉพาะทางที่ทันสมัย

โดยคำนึงถึงความพร้อมทางด้านแพทย์ที่มีความเชียวชาญเฉพาะทางในจังหวัดที่มีอยู่แล้ว เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นให้เข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ได้ง่าย ลดการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองใหญ่ และลดอัตราการเสียชีวิตลง โดยได้เริ่มยกระดับนำร่อง 9 จังหวัด ดังต่อไปนี้

1. โรงพยาบาลพหหลพลพยุหเสนาและเครือข่าย รพ.ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเป็นศูนย์กลางการคัดกรอง ค้นหา และรักษาโรคมะเร็งอย่างครบวงจรภาคตะวันตก สู่ระดับนานาชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 75,925,000 บาท

2. โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้วและเครื่อข่าย รพ.ในจังหวัดสระแก้ว เพื่อเป็นศูนย์กลางการคัดกรอง ค้นหา และรักษาโรคมะเร็งในโรงพยาบาลชายขอบฝั่งตะวันออกสู่ระดับนานาชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 82,635,000 บาท  

3. โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จังหวัดหนองคายและเครือข่ายรพ.ใน จ.หนองคาย เพื่อเป็นศูนย์การผ่าตัดแผลเล็ก การส่องกล้องและการผ่าตัดผ่านกล้องอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสู่ระดับนานาชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 69,085,700 บาท

4. โรงพยาบาลปัตตานี และเครือข่ายรพ.ใน จ.ปัตตานี เพื่อเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลชายขอบตอนใต้สู่ระดับนานาชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 7,200,000 บาท

นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข 5.โรงพยาบาลสกลนคร และเครือข่ายรพ.ใน จ.สกลนคร พัฒนาเป็นศูนย์หัวใจและการดูแลโรคหัวใจ แบบครบวงจรในเขตอีสานตอนบนสู่ระดับนานาชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 26,369,200 บาท

6.โรงพยาบาลมุกดาหาร และเครือข่ายรพ.ในจ.มุกดาหาร พัฒนาสู่ศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิชั้นสูงริมฝั่งโขงตอนบน สู่ระดับมาตรฐานนานาชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 82,627,500 บาท

7.โครงการยกระดับเครือข่าย รพ.ชุนชม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นศูนย์การแพทย์ ริมฝั่งโขงตอนล่าง สู่ระดับนานาชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 152,500,000 บาท

8.โรงพยาบาลแม่สอด และเครือข่ายรพ.ใน จังหวัดตาก เพื่อป็นศูนย์กลางการคัดกรอง ค้นหา และรักษาโรคมะเร็งในโรงพยาบาลชายขอบฝั่งตะวันตกสู่ระดับนานาชาติ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 4,020,000 บาท

9.โรงพยาบาลนครศรีธรรมราช และเครือข่ายรพ.ในจังหวัด นครศรีธรรมราบ พัฒนาเป็นศูนย์จักษุวิทยาชั้นสูง ภาคใต้ตอนบน สู่ระดับมาตรฐานานาชาติได้รับจัดสรรงบประมาณ 9,620,000 บาท

นอกจากการมุ่งเน้นสร้างความมั่นคงทางสุขภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ด้านสาธารณสุข ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ชายแดนแล้วยังเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศจากความต้องการของผู้ป่วยชาวต่างชาติที่จะเข้ามารักษาในประเทศไทย เช่น จากประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าอีกด้วย ซึ่งในเฟสต่อไปยังคงต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าว