สปสช. แจงยิบยัน 'บัตรทอง' ไม่ล่มสลาย จ่อตั้งคกก.ศึกษาต้นทุนรพ.

26 พ.ค. 2568 | 10:00 น.
อัปเดตล่าสุด :26 พ.ค. 2568 | 10:03 น.

สปสช. ยันระบบ บัตรทอง 30 บาทไม่ล่มสลาย ย้ำอัตราจ่ายผู้ป่วยใน 8,350 บาท เตรียมทำข้อมูลชงเข้าบอร์ด สปสช. เสนอ ครม. ตั้ง คกก.กลางศึกษาต้นทุน-อัตราจ่ายที่เหมาะสมให้ รพ.

จากกรณีที่มีความกังวลของหลายภาคส่วนประเด็นเรื่องของงบประมาณ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาทว่าจะไม่เพียงพอและเสี่ยงล่มสลายภายใน 3 ปีนั้น วันนี้ (26 พ.ค.68) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ในฐานะโฆษกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แถลงข่าวทิศทางบริหารงบประมาณกองทุนบัตรทอง โดยยืนยันว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล่มสลาย ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากนานาประเทศในเรื่องนี้ และเป็นผลงานที่รัฐบาลนำไปเสนอในเวทีระดับโลกมาโดยตลอด นอกจากนี้ไทยยังเป็นต้นแบบให้กับหลาย ๆ ประเทศที่กำลังจะทำหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนในประเทศ 

ทั้งนี้ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยมีการพัฒนาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตลอดเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของระบบ 

รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวย้ำว่า ตัวเลขอัตราจ่ายผู้ป่วยใน 7,100 บาทต่อ adj.RW นั้นเป็นการคำนวณจากจำนวนการใช้บริการผู้ป่วยในที่เพิ่มขึ้นซึ่ง สปสช. ได้นำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการงานและการบริหารจัดการกองทุนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่ายืนยันอัตราจ่ายผู้ป่วยในที่ 8,350 บาทต่อ adj.RW และ สปสช. จะเสนอของบประมาณเพิ่มเติมต่อไป ดังนั้น ไม่มีการปรับลดอัตราจ่ายผู้ป่วยในเหลือ 7,100 บาทต่อ adj.RW อย่างแน่นอน 

ทั้งนี้ การที่งบประมาณการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในเป็นงบประมาณปลายปิด หรือ Global budget นั้น เนื่องจากเป็นไปตามแนวทางวิชาการของการบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติซึ่งประเทศที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนใช้หลักการนี้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบ

ในส่วนของประเทศไทยใช้หลักการว่า ต้องไม่ต่ำกว่า 8,350 บาทต่อ adj.RW หากปลายปีงบประมาณไม่เพียงพอให้เสนอของบประมาณเพิ่มเติมซึ่งในการจ่ายเงินให้กับหน่วยบริการนั้น สปสช. ได้รับงบประมาณมาเท่าไรก็จ่ายตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมายให้กับโรงพยาบาลไปทั้งหมด

หากปีไหนมีเงินเหลือก็โอนเพิ่มให้โรงพยาบาลเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในปี 2561-2564 การให้บริการผู้ป่วยในลดลง ทำให้มีงบประมาณเหลือ สปสช. ก็จัดสรรเพิ่มเติมให้โรงพยาบาลไปทั้งหมด

สปสช. แจงยิบยัน 'บัตรทอง' ไม่ล่มสลาย จ่อตั้งคกก.ศึกษาต้นทุนรพ.

ยกตัวอย่างในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา สปสช. ได้รับจัดสรรงบกลาง จำนวน 5,924 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ สปสช. จัดสรรค่าบริการ 30 บาทรักษาทุกที่ 1,705 ล้านบาท และเงินส่วนที่เหลือได้นำมาจัดสรรค่าบริการผู้ป่วยในให้หน่วยบริการ ในอัตราไม่เกิน 8,350 บาทต่อ adj.RW 

อย่างไรก็ดี กรณีที่มีข้อเสนอให้ สปสช. ปรับเพิ่มอัตราจ่ายผู้ป่วยในนั้น สปสช. ขอชี้แจงว่า ในการเสนอของบประมาณแต่ละปีจากสำนักงบประมาณนั้น สปสช. ต้องทำข้อเสนอตัวเลขและมีฐานข้อมูลที่ได้มาตรฐานรองรับด้วย ดังนั้น การจะเพิ่มเป็นอัตราเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับต้นทุนของโรงพยาบาลและไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศนั้น ต้องมีการศึกษาและต้องเป็นหน่วยงานกลางที่เข้ามาทำหน้าที่นี้

ด้วยเหตุนี้ สปสช. จะทำข้อเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บอร์ด สปสช. เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางมาศึกษาอัตราจ่ายที่เหมาะสมสำหรับกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐต่อไป เมื่อได้คณะกรรมการที่เป็นกลางในการศึกษาแล้วจะทำให้ได้ทราบข้อมูลต้นทุนที่แท้จริงของโรงพยาบาลและสามารถคำนวณเป็นอัตราจ่ายที่เหมาะสมในการให้บริการต่อไป 

นอกจากนั้นเพื่อให้การจ่ายเงินกองทุนผู้ป่วยในมีประสิทธิภาพมากขึ้น สปสช. ได้มีการกำกับติดตามการเบิกจ่ายเงินหรือการตรวจสอบการจ่ายซึ่งผลการตรวจนี้จะถูกใช้ในการเสนอของบประมาณกับสำนักงบประมาณ และ สปสช. ยินดีเข้าไปดูโรงพยาบาลที่ประสบปัญหาการบันทึกข้อมูลในการเบิกจ่าย จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีการบันทึกตัวเลขทางบัญชีไม่ถูกต้องประมาณ 7,000 ล้านบาท หากมีการแก้ไขตรงนี้ก็จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของโรงพยาบาลได้ 

ทพ.อรรถพร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมงบประมาณการให้บริการนวัตกรรมจึงเป็นปลายเปิดนั้น สปสช. ขอชี้แจงว่า บริการนวัตกรรมเป็นบริการเสริมเพื่อลดภาระโรงพยาบาล เช่น เจ็บป่วยเล็กน้อยไปรับยาที่ร้านยาได้ ให้โรงพยาบาลได้รักษาโรคที่หนักกว่าหรือซ้ำซ้อนกว่า

ที่ผ่านมา พบว่า ผลการให้บริการนวัตกรรม 30 บาทรักษาทุกที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ลดการไปโรงพยาบาลได้ และพบว่า ประชาชนที่ไม่เคยใช้สิทธิมาก่อน มาใช้สิทธินี้กว่า 80,000 คน นับเป็นการทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาที่ง่ายขึ้นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในกลุ่มนี้ได้และการเป็นงบปลายเปิดเพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาร่วมให้บริการในระบบ 

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการมาระยะหนึ่ง สปสช. มีข้อมูลที่จะกำหนดจำนวนครั้งของการใช้บริการที่เหมาะสมในปีต่อ ๆ ไป ซึ่งก็จะทำให้งบประมาณในส่วนนี้ไม่เพิ่มสูงขึ้น ขณะนี้บริการนวัตกรรมที่ สปสช. จำกัดจำนวนครั้ง คือ ทำฟันที่คลินิกทันตกรรม 30 บาทรักษาทุกที่ ที่ให้ 3 ครั้งต่อคนต่อปี เป้าหมายเพื่อให้คนที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพฟันได้รักษาเร็วและลดภาระโรงพยาบาลอีกทางหนึ่งด้วย