ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา รพ.ปิดชั่วคราว 7 แห่ง ปิดบางส่วน 12 แห่ง

09 ธ.ค. 2568 | 05:10 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ธ.ค. 2568 | 05:24 น.

สาธารณสุข อัปเดตสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุดกระทบโรงพยาบาลหลายแห่งในพื้นที่ รพ.ปิดชั่วคราว 7 แห่ง ปิดบางส่วน 12 แห่ง ขณะที่ รพ.สต.ได้รับผลกระทบ 164 แห่ง

KEY

POINTS

  • เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาส่งผลให้โรงพยาบาลในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนต้องปิดบริการชั่วคราว 7 แห่ง และปิดบริการบางส่วนอีก 12 แห่ง
  • โรงพยาบาลที่ปิดบริการชั่วคราว 7 แห่ง อยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี 3 แห่ง, ศรีสะเกษ 2 แห่ง และสุรินทร์ 2 แห่ง
  • มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยสะสมจำนวน 534 รายออกจากโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบและพื้นที่เสี่ยงไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงที่ปลอดภัย

9 ธันวาคม 2568 นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีนพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมและมอบหมายให้แถลงความคืบหน้าล่าสุดนั้น 

นพ.เอกชัย โฆษกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงมีเหตุปะทะหลายจุดตามแนวชายแดนทั้งที่จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์และสระแก้ว โดยกองทัพภาค 2 แจ้งเตือนในการเตรียมความพร้อมที่ฝั่งกัมพูชายิงเข้ามาฝั่งไทยในหลายพื้นที่ หลายอำเภอจำเป็นต้องอพยพประชาชน โดยสถานพยาบาลในกระทรวงสาธารณสุขพื้นที่ชายแดน จำนวน 19 แห่ง มีโรงพยาบาลต้องปิดบริการชั่วคราว จำนวน  7 แห่ง ประกอบด้วย 

จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 3 แห่ง

  • รพ.น้ำยืน
  • รพ.นาจะหลวย
  • รพ.น้ำขุ่น 

จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 2 แห่ง 

  • รพ.กันทรลักษ์
  • รพ.ภูสิงห์ 

จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 2 แห่ง 

  • รพ.กาบเชิง
  • รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา

ขณะที่โรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ 12 แห่งปิดให้บริการบางส่วน คือ ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน เช่น จ.สระแก้ว มีโรงพยาบาล 4 แห่งที่ปิดให้บริการผู้ป่วยในกับผู้ป่วยนอก รพ.โคกสูง รพ.ตาพระยา รพ.อรัญประเทศ และ รพ.คลองหาด เป็นต้น

นอกจากนี้พบว่า มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ได้รับผลกระทบใน 5 จังหวัด จำนวน 164 แห่งซึ่งหลายแห่งใช้เป็นจุดพักพิงและสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือประชาชน สำหรับแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจัดระบบอพยพผู้ป่วยจาก รพ.ที่ถูกปิดและพื้นที่เสี่ยงออกไปนอกพื้นที่โดยปัจจุบันได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยสะสมทั้งหมด จำนวน 534 ราย ไปยังรพ.ใกล้เคียงและมีความพร้อมทั้งจังหวัดเดียวและข้างเคียงเพื่อให้ระบบส่งต่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ขอย้ำว่า รพ.ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่อยู่รอบนอกมีความพร้อมในการเตรียมรองรับเหตุฉุกเฉินแล้วโดยมีศักยภาพรองรับทั้งเตียงไอซียู เตียงผู้ป่วยสามัญซึ่งมีจำนวนเตียงไม่ต่ำกว่า 4,000 เตียงรองรับไว้ในพื้นที่โดยรอบ

ในส่วนของศูนย์พักพิงขณะนี้มี 603 แห่งใน 7 จังหวัดชายแดน สามารถรองรับประชาชนได้กว่า 3.7 แสนคน มีประชาชน 1.3 แสนคนเข้ามาแล้ว เช่น ที่จ.ศรีสะเกษ กว่า 4 หมื่นคน จ.สุรินทร์ กว่า 5 หมื่นคน และที่จ.อุบลราชธานีราว 2.5 หมื่นคน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากภาคส่วนต่าง ๆ 2,500 คน คอยปฏิบัติงานดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง 24 ชั่วโมง

ในศูนย์พักพิงมีประชาชนกลุ่มเปราะบางเกือบ 2 หมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยฟอกไต ผู้ป่วยจิตเวช โดยทางสาธารณสุขจัดทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่ดูแลเฉพาะทาง เช่น การฟอกไตต่อเนื่อง การดูแลผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงการดูแลเด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์

พร้อมกันนี้ยังมีทีมปฏิบัติการฉุกเฉินลงพื้นที่ด้วย เช่น ทีมกู้ชีพระดับสูง (Advanced Life Support : ALS) ไม่ต่ำกว่า 115 ทีม ทีมควบคุมโรคป้องกันโรคระบาด (JIT)  ทีมดูแลสุขภาพจิต MCATT  ยังมีทีม SEhRT ดูแลสุขภาพอนามัย อาหารและน้ำ และจะเพิ่มจำนวนทีมมากขึ้นหากมีภาวะฉุกเฉิน

นอกจากนี้ได้มีการประเมินภาวะสุขภาพจิตในพื้นที่ฉุกเฉิน พบว่า มีจำนวน 1.2 หมื่นรายมีภาวะเครียดสูงและเสี่ยงทำร้ายตัวเองในจังหวัดใหญ่ ๆ เช่น อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ซึ่งทีม MCATT ให้บริการดูแลหากพบรายไหนเสี่ยงสูงจะส่งต่อพบจิตแพทย์รายบุคคลอย่างใกล้ชิด

โฆษก สธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้หลายโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยง เช่น ที่ รพ.ศรีสะเกษ ประกาศขอรับบริจาคเลือดสำรองนั้นเพื่อเตรียมความพร้อมขอเชิญชวนประชาชนที่สะดวกเข้ารับบริจาค สามารถบริจาคในรพ.จังหวัดใกล้บ้านท่านได้โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงต่อการปะทะในขณะนี้

กระทรวงสาธารณสุข ขอย้ำว่า มีความพร้อมทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเพียงพอและขอขอบคุณบุคลากรทุกภาคส่วน เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน จิตอาสาและทุกส่วนที่เกี่ยวข้องโดยจะเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะซึ่งสธ.มีการประชุมติดตามสถานการณ์ในทุกวันช่วงเช้าเพื่อประเมินเหตุการสู้รบชายแดนไทยกัมพูชาต่อเนื่องทุกวัน