“เราเกิดก่อนไอคอนสยามเสียอีก” เป็นคำพูดของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ TRP ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธีรพร เล่าให้ฟังว่า สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อปี พ.ศ. 2517 และเลือกศึกษาต่อเฉพาะทางด้าน หู คอ จมูก ก่อนเริ่มต้นทำงานในโรงพยาบาลรัฐช่วงแรกของชีวิตแพทย์
ที่ “หัตถการ” หรือการศัลยกรรมความงามยังไม่แพร่หลาย และไม่มีการเรียนการสอนในระบบแพทย์ไทยมากนัก กระทั่งได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ท่านหนึ่ง ให้ไปศึกษาต่อด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยเฉพาะ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
ชื่อ “ธีรพร” มาจากอาจารย์แพทย์ผู้หนึ่งที่เขาเคยร่วมงานด้วยในเวลานั้น ต่อมาอาจารย์ท่านนี้เตรียมเดินทางไปต่างประเทศ และต้องการขายคลินิกที่เคยดูแลต่อให้ จึงตัดสินใจรับช่วงต่อ และค่อย ๆ ขยายกิจการจากคลินิกเล็ก ๆ จนกลายมาเป็นโรงพยาบาลธีรพรในทุกวันนี้
“เราเริ่มจากศูนย์ ไม่ได้มีทุนหรือความรู้ด้านธุรกิจมาก่อน แต่เรามีความรู้ด้านแพทย์ และเราเชื่อว่าถ้าทำให้คนไข้รู้สึกปลอดภัย เขาก็จะเชื่อมั่นในเรา”
ปัจจุบัน โรงพยาบาลธีรพร ภายใต้การบริหารของบริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) เติบโตขึ้นจากรากฐานของความรู้ ความเชี่ยวชาญ และวิสัยทัศน์ของแพทย์ที่เข้าใจคนไข้ลึกซึ้งในมิติกายภาพและจิตใจ
สำหรับศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม แต่คือการฟื้นฟูความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งนั่นคือเป้าหมายสูงสุดของโรงพยาบาลแห่งนี้
การเปิดตัว “โรงพยาบาลธีรพร” เป็นก้าวสำคัญของการต่อยอดความเชี่ยวชาญที่สะสมมาต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี โดยมีจุดแข็งหลัก 5 ประการ ได้แก่
1.ประสบการณ์เฉพาะทาง ด้านศัลยกรรมใบหน้า ซึ่งริเริ่มและพัฒนาอย่างต่อเนื่องมายาวนาน
2.ทีมแพทย์ระดับอาจารย์ ที่มีประสบการณ์สูง ดูแลทุกขั้นตอนการรักษา
3.เทคนิคเฉพาะบุคคล ซึ่งออกแบบตามลักษณะเฉพาะของคนไข้แต่ละราย
4.เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่พัฒนาโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง
5.การผสานบริการแบบไทยกับมาตรฐานสากล เพื่อประสบการณ์ที่ปลอดภัย
และหนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญของ โรงพยาบาลธีรพร คือการออกแบบพื้นที่และระบบภายในให้แตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไป โดยมีพื้นที่รวมกว่า 9,000 ตารางเมตร ที่จัดวางในลักษณะเปิดโล่ง โปร่งสบาย เพื่อให้ผู้มาใช้บริการรู้สึกไม่อึดอัดและไม่เหมือนการมาโรงพยาบาลในความรู้สึกแบบเดิม ๆ
ห้องผ่าตัดมาตรฐานจำนวน 12 ห้อง ถูกออกแบบให้รองรับทั้งการผ่าตัดขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่การศัลยกรรมตกแต่งไปจนถึงหัตถการเฉพาะทางที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยแต่ละห้องมีระบบควบคุมความดันและอากาศเฉพาะจุด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนระหว่างห้อง
จุดเด่นอีกประการหนึ่ง คือระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เตรียมพร้อมรับมือกับ เหตุฉุกเฉิน เช่น แผ่นดินไหว โรงพยาบาลได้ติดตั้งระบบจ่ายไฟสำรองอัตโนมัติ และโครงสร้างทางวิศวกรรมที่รองรับแรงสั่นสะเทือน ทำให้แม้ในสถานการณ์ไม่ปกติ ทีมแพทย์ยังสามารถดำเนินการผ่าตัดต่อได้โดยไม่มีผลกระทบต่อผู้ป่วย ทั้งในแง่ของความปลอดภัยและคุณภาพการรักษา
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบฟอกอากาศคุณภาพ ที่สามารถกรองฝุ่นละเอียด PM2.5 เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสุขภาพของผู้ป่วย บุคลากร และผู้มาใช้บริการทุกคน
โรงพยาบาลธีรพรวางเป้าหมายรองรับตลาด Wellness Tourism ที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Global Wellness Institute (GWI) คาดว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดด้านสุขภาพทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 230 ล้านล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางด้านนี้
จากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ตลาดศัลยกรรมไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 2.8% ต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 76,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนการลงทุนครั้งนี้
โรงพยาบาลธีรพรใช้งบลงทุนรวมกว่า 630 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงสร้าง 550 ล้านบาท อุปกรณ์ 80 ล้านบาท เพื่อขยายบริการจากศัลยกรรมเฉพาะทางใบหน้า สู่การดูแลด้าน ผิวพรรณและสุขภาพแบบองค์รวม ภายใต้แนวคิด Skin & Longevity ที่เน้นการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเพื่อความงามชั่วคราว
โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 10% ภายในปี 2568 โรงพยาบาลธีรพรจึงวางตำแหน่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในระยะยาวแห่งแรกของประเทศไทย
กลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาเริ่มเข้ามาใช้บริการมากขึ้น และมีแนวโน้มขยายสู่ประเทศอื่นในอาเซียน
แม้ชื่อเสียงของแพทย์ไทยจะได้รับการยอมรับอยู่แล้ว แต่โจทย์สำคัญคือการ “สร้างการรับรู้” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในระดับนานาชาติ ธีรพรจึงเตรียมกลยุทธ์การสื่อสารทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาจีน พร้อมบริการล่ามสำหรับลูกค้าต่างชาติ และการพัฒนาเนื้อหาคอนเทนต์ในช่องทางออนไลน์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ในภูมิภาค
สำหรับประเด็นด้านภาษีและเศรษฐกิจภาพใหญ่ มองว่ายังไม่มีความชัดเจนเพียงพอที่จะส่งผลกระทบในระยะสั้น ขณะที่ตลาด Wellness Tourism ยังเติบโตต่อเนื่อง และประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงในสายตานักท่องเที่ยวสุขภาพทั่วโลก
แผนพัฒนาโรงพยาบาลจะเน้นการขยายห้องผ่าตัด รับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพิ่ม และเปิดบริการเฉพาะทางใหม่เพื่อตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ เช่น
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าธุรกิจผิวพรรณ (Skin Care) และ Wellness อย่างจริงจัง พร้อมระบบ CRM ที่ดูแลลูกค้า VIP และบริการแบบเฉพาะบุคคล
ส่วนกลยุทธ์เน้นขยายการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งการผลิตคอนเทนต์ การทำ SEO และการสื่อสารหลายภาษา เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายต่างชาติ โดยเฉพาะในกัมพูชา ลาว เวียดนาม รวมถึงการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพและความงามยุคใหม่