โครงการ สุขกาย สบายกระเป๋า ตั้งเป้าลดภาระค่ายาของประชาชน 3 หมื่นล้านบาทต่อปีพร้อมเพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนกว่า 300 แห่งโดยประชาชนสามารถนำใบสั่งยาไปซื้อยาจากร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการกว่า 3,400 แห่งทั่วประเทศ
โดยล่าสุด อย.เปิดตัวระบบนำทาง "แผนที่ร้านยาใกล้ฉัน" เพื่อให้ประชาชนสามารถค้นหาร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการใกล้บ้าน หรือ สังเกตโลโก้โครงการที่ร้านขายยาได้แล้ว
เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง อย. กับกรมการค้าภายใน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการสุขภาพที่สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ ตั้งเป้าหมายลดภาระค่ายาได้ถึง 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลรัฐ
ด้วยการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการกว่า 300 แห่ง สามารถทราบรายการและราคายาอย่างชัดเจน และเลือกที่จะนำใบสั่งยาไปซื้อยาจากร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการกว่า 3,400 แห่งทั่วประเทศ
ทั้งนี้ อย. มีบทบาทหลักในการเปิดรับสมัครและเตรียมความพร้อมให้กับร้านขายยาที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้มั่นใจว่า ร้านขายยาจะสามารถจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์ได้อย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน
พร้อมทั้งได้พัฒนาระบบค้นหา "ร้านยา (สุขกาย สบายกระเป๋า) ใกล้ฉัน" เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนค้นหาร้านขายยาใกล้บ้านเพื่อซื้อยาได้ง่ายขึ้นโดยประชาชนสามารถเข้าถึงระบบค้นหาได้ผ่าน QR Code หรือ LINE: @FDAThai หรือ สังเกตเครื่องหมายยืนยันร้านยาที่เข้าร่วมโครงการได้จากโลโก้โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" ที่ติดอยู่บริเวณร้าน
ทั้งนี้ อย.ได้รับความร่วมมือจาก สมาคมเภสัชกรรมชุมชน สมาคมผู้ประกอบการร้านยารวมใจไทย สมาคมร้านขายยา ในการเชิญชวนสมาชิกและสนับสนุนการให้บริการจ่ายยาตามใบสั่งยาให้มีมาตรฐาน
ในอนาคตมีแนวคิดในการพัฒนาระบบบริหารเวชภัณฑ์รวม ป้องกันปัญหาการได้รับยาไม่ครบถ้วนตามใบสั่งยา และแก้ไขปัญหายาราคาแพงในอนาคต รวมทั้งร่วมมือกับสภาเภสัชกรรม ยกระดับมาตรฐานการบริการทางวิชาชีพและให้บริการเภสัชกรรมทางไกล (Telepharmacy)
สำหรับโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการพัฒนาระบบใบสั่งยาของไทยให้เทียบเท่าสากล ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการลดค่าใช้จ่ายด้านยาและยกระดับสิทธิด้านยาของผู้ป่วยในอนาคต