พญ.เพ็ญชาญา อติวรรณาพัฒน์ จิตแพทย์แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช ศูนย์สุขภาพใจ โรงพยาบาลวิมุต เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปัจจุบันสามารถพบโรคทางจิตเวช PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ได้ง่ายขึ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ การสูญเสียหลังเหตุการณ์ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงคราม ภัยธรรมชาติ เหตุที่ไม่ใช่เรื่องปกติ สถานการณ์เหล่านี้อาจส่งผลกระทบกระเทือนทางจิตใจ ตามลำดับพฤติกรรม ดังนี้
“ปกติกอาการต่าง ๆ หลังจากเผชิญเหตุสะเทือนใจหรือตกใจขั้นสุด จิตใจของคนจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ไม่เกิน 2-3 วัน หากระยะเวลานานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของสัญญานเตือนโรคเครียดเฉียบพลัน Acute Stress Disorder หรือ ASD กระทั่งมีอาการนานเกิน 1 เดือน จะเข้าสู่ภาวะ PTSD”
พญ.เพ็ญชาญา กล่าวว่า ในตอนแรกบางคนอาจแสดงอาการปกติ แต่หลังจากนั้นจึงแสดงอาการทีหลัง ซึ่ง PTSD มักจะนำไปสู่ภาวะที่เกี่ยวข้อกับเหตุการณ์ร้ายแรง และอาจมีปัจจัยอื่นหรือภาวะทางจิตอื่นร่วมด้วย เช่น ภาวะซึมเศร้า
ด้าน พญ.ดุจฤดี อภิวงศ์ จิตแพทย์โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่หลายคนอาจไม่รู้คือ อาการของ PTSD มีรากมาจากระบบประสาทของร่างกายที่ถูกรบกวน เมื่อเผชิญเหตุรุนแรง สมองจะกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ให้ร่างกายตื่นตัวต่อภัยอันตราย และลดการทำงานของระบบพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) ที่มีหน้าที่ฟื้นฟูและผ่อนคลาย
แต่เมื่อระบบตื่นภัยทำงานหนักเกินไปต่อเนื่อง สมองและร่างกายจะอยู่ในสภาวะเครียดตลอดเวลา หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ กล้ามเนื้อเกร็ง สมองไม่สามารถกลับสู่ภาวะสมดุล ส่งผลให้เกิดอาการทางจิตใจเรื้อรังตามมา
พญ.ดุจฤดี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ไม่ได้มีแค่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม เช่น สูญเสียคนใกล้ชิด ได้เห็นภาพความรุนแรงซ้ำ ๆ หรือมีความไวต่อความเครียดสูงเป็นทุนเดิม หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง โรคนี้อาจลุกลามกลายเป็นโรคซึมเศร้า หรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การใช้สารเสพติด หรือการเก็บตัวแยกจากสังคมอย่างรุนแรง
แม้โรคนี้จะดูซับซ้อน แต่หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาการสามารถบรรเทาและฟื้นฟูได้ โดยเริ่มจากการดูแลตนเองในระดับเบื้องต้น เช่น การฝึกหายใจลึกและช้า (Breathing Exercise) ที่ช่วยให้ระบบประสาทเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย การจดบันทึกความรู้สึกเพื่อเข้าใจและปลดปล่อยความคิดที่ติดค้างในใจ การฝึกสมาธิหรืออยู่กับปัจจุบัน (Mindfulness) ที่ช่วยให้ปลดปล่อยตัวเองจากอดีต
รวมถึงการหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอีนที่กระตุ้นอาการให้รุนแรงขึ้น กิจกรรมอย่างศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด ออกกำลังกายเบา ๆ หรือการได้ทำงานอาสาและใช้เวลาอยู่กับผู้คนที่ปลอดภัย ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ใจกลับมาแข็งแรงทีละน้อย
สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าปล่อยให้ตัวเองหรือคนที่คุณรักต้องเผชิญกับภาวะนี้ตามลำพัง หากรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือได้ด้วยตนเอง หรือมีอาการที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยเร็ว เพราะการได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีตั้งแต่ต้น จะช่วยให้ฟื้นตัวได้รวดเร็ว และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง