นายกฯอนุทิน คว้า 'รางวัลชัยนาทนเรนทร' นักการสาธารณสุขดีเด่น

12 ก.ย. 2568 | 07:15 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ย. 2568 | 07:17 น.

นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล คว้ารางวัลชัยนาทนเรนทร นักการสาธารณสุขดีเด่นประเภทบริหาร เผย ความภาคภูมิใจถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จที่ร่วมขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทยให้ก้าวหน้ามั่นคง

KEY

POINTS

  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้รับ "รางวัลชัยนาทนเรนทร" ประจำปี 2567 ในฐานะนักการสาธารณสุขดีเด่น ประเภทบริหาร
  • ผลงานที่ทำให้ได้รับรางวัล คือ การนำกระทรวงสาธารณสุขควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้สำเร็จและผลักดันนโยบายเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ เช่น 30 บาทรักษาทุกที่ และฟอกไตฟรี
  • อีกหนึ่งผลงานสำคัญ คือ ภารกิจ "หัวใจติดปีก" ที่ใช้เครื่องบินส่วนตัวขนส่งอวัยวะเพื่อการปลูกถ่ายช่วยเหลือผู้ป่วยมาตั้งแต่ปี 2557

12 กันยายน 2568 ที่ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ในงานประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คว้า "รางวัลชัยนาทนเรนทร" ประจำปี 2567 นักการสาธารณสุขดีเด่นประเภทบริหาร โดยมี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารและบุคลากรสาธารณสุข ร่วมแสดงความยินดี

ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถา "สาธารณสุขไทย สู่อนาคตที่ยั่งยืน" ตอนหนึ่งระบุว่า การได้รับพระราชทานรางวัลชัยนาทนเรนทร จากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือเป็นเกียรติยศอย่างสูงยิ่ง เป็นกำลังใจสำคัญในการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป และไม่ใช่เพียงเกียรติยศส่วนตัวแต่เป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จของทุกคนที่ร่วมกันขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทยให้ก้าวหน้าและมั่นคงยิ่งขึ้น 

พร้อมกันนี้ได้กล่าว ขอบคุณทีมบริหารที่พร้อมสนับสนุนผู้ปฏิบัติงาน แพทย์ พยาบาล ที่เสียสละ มีความเป็นมืออาชีพสูง และ อสม. ที่เป็นพลังสำคัญ เคียงข้างระบบสุขภาพไทยมาตลอด ทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการบริหารวิกฤตโควิด 19 จนได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมถึงมีการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี ปรับปรุงสวัสดิการต่าง ๆ ที่ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขไทยยังคงความเป็นเลิศและยืนอยู่ในแถวหน้าของโลกอย่างมั่นคง

นายกฯอนุทิน คว้า 'รางวัลชัยนาทนเรนทร' นักการสาธารณสุขดีเด่น

สำหรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อาจส่งผลให้มีผู้ป่วยมากกว่าผู้รักษา ขณะที่เด็กรุ่นใหม่อาจไม่สนใจเรียนวิชาชีพด้านสุขภาพ ถือเป็นความท้าทายของระบบสาธารณสุขที่จะต้องผลิตบุคลากรให้เพียงพอต่อความต้องการ โดยทำงานร่วมกันในระดับกระทรวง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ 

 

สำหรับนักการสาธารณสุขดีเด่นที่ได้รับพระราชทาน "รางวัลชัยนาทนเรนทร" ประจำปี 2567 จำนวน 5 ประเภท ประกอบด้วย 

1. ประเภทบริหาร : นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นำกระทรวงสาธารณสุขควบคุมโรคโควิด19 จนสำเร็จ ผลักดันนโยบาย Health for Wealth ยกระดับระบบบริการสุขภาพและสมุนไพรสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพด้วยระบบ 3 หมอ โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ มะเร็งรักษาทุกที่ และฟอกไตฟรี และยังปฏิบัติภารกิจหัวใจติดปีก นำอวัยวะจากร่างหนึ่ง ไปต่อลมหายใจให้อีกชีวิตหนึ่ง ด้วยเครื่องบินส่วนตัว ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน  

2. ประเภทบริการ : นายแพทย์มนฑิต พูลสงวน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะยาวชัยพัฒน์ จังหวัดพังงา ทำให้เกิดหน่วยไตเทียมในโรงพยาบาลพื้นที่เกาะห่างไกล ช่วยให้ผู้ป่วยโรคไตเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม และริเริ่มนำระบบเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยอากาศยาน (Sky Doctor) มาใช้ในพื้นที่เกาะห่างไกลลดอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนได้อย่างชัดเจน  

3. ประเภทวิชาการ: ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทยได้ร่วมพัฒนาหลักสูตรด้านสาธารณสุข อาทิ สุขภาพจิตชุมชน เวชศาสตร์ทางทะเล เวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว  เวชศาสตร์การจราจร เวชศาสตร์วิถีชีวิต สร้างองค์ความรู้ใหม่ให้แก่ผู้นำด้านสาธารณสุข และจัดทำเกณฑ์การประเมินโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ช่วยยกระดับมาตรฐานการบริการและสุขภาพของประชาชน 

4. ประเภทผู้นำชุมชน : พระครูปิยวรรณพิพัฒน์ เจ้าคณะตำบลชั้นเอก วัดหัวฝาย จังหวัดเชียงราย ได้สร้างเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุถึง 164 แห่ง  ครอบคลุมทุกตำบลในจังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพผู้สูงอายุ จัดตั้งมูลนิธิปิยวรรณพิพัฒน์ ดูแลผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มเปราะบาง และยังขับเคลื่อนสถานชีวาภิบาลวัดหัวฝาย ดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้าย 

5. ประเภทประชาชน : นางสาววิลัยวัลย์ ธงสันเทียะ อาสาสมัครสาธารณสุข ตำบลด่านใน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา นำภาคประชาชนร่วมป้องกันโรคโควิด 19 ในพื้นที่ สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต รวมทั้งผลักดันโครงสร้าง อสม. แห่งประเทศไทย ให้มีความเข้มแข็ง สร้างความเปลี่ยนแปลงของระบบสุขภาพ และเป็นพลังให้ชุมชนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง